Pa Mania Tales (เรื่องเล่าปามาเนีย) > Performance Talks & Engine Modifications
ผลเสียการอุดEGR ใช่หรือไม่ ในปาเจ จะเป็นอย่างไร?
ตุ้ย THEPBURI:
อุดไปเรียบร้อย คันเร่ง ดันราง ปิ่นโต ข้าวน้อย ก็จัดมันให้หมด และกำลังจะตามมาด้วยหัวฉีด
ไม่ทราบว่าต้องบำรุงรักษาอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษบ้างครับ
เพียงเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อนระยะ 10,000 กม. ครั้งแรกเมื่อได้ 9,000 กม.ต้นๆ ครั้งที่ 2 ก็เปลี่ยนเมื่อ 18,000 กม.กว่าๆ (ปกติต้อง 20,000กม.) และครั้งที่2ก็เป็นแบบสังเคราะห์พิเศษครับ
เมื่อลงมือแต่ง ก็ย่อมต้องการจะทำให้สมบูรณ์ เพื่อรถที่เรารักมีมาตรฐานสูงขึ้นและอยู่ด้วยกันไปนานๆ
การได้ความรู้จากพี่ๆ เช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ปรารถนาที่สุด
มองที่ดีที่สุดต้องทำอย่างไรบ้าง
ถ้าชอบความประหยัดก็คงไม่ต้องทำอะไรแต่ทีแรก ใช้เดิมๆ ไปนั่นแหล่ะ
ขอบคุณครับ :sd23: :sd23: :sd23:
แดง-ขอนแก่น:
:L4365: :L4365: :L4365: :L2901:
ตูมตาม:
--- อ้างจาก: ตุ้ย THEPBURI 7677 ที่ 15 สิงหาคม 2014, 11:30:46 ---อุดไปเรียบร้อย คันเร่ง ดันราง ปิ่นโต ข้าวน้อย ก็จัดมันให้หมด และกำลังจะตามมาด้วยหัวฉีด
ไม่ทราบว่าต้องบำรุงรักษาอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษบ้างครับ
เพียงเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อนระยะ 10,000 กม. ครั้งแรกเมื่อได้ 9,000 กม.ต้นๆ ครั้งที่ 2 ก็เปลี่ยนเมื่อ 18,000 กม.กว่าๆ (ปกติต้อง 20,000กม.) และครั้งที่2ก็เป็นแบบสังเคราะห์พิเศษครับ
เมื่อลงมือแต่ง ก็ย่อมต้องการจะทำให้สมบูรณ์ เพื่อรถที่เรารักมีมาตรฐานสูงขึ้นและอยู่ด้วยกันไปนานๆ
การได้ความรู้จากพี่ๆ เช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ปรารถนาที่สุด
มองที่ดีที่สุดต้องทำอย่างไรบ้าง
ถ้าชอบความประหยัดก็คงไม่ต้องทำอะไรแต่ทีแรก ใช้เดิมๆ ไปนั่นแหล่ะ
ขอบคุณครับ :sd23: :sd23: :sd23:
--- End quote ---
รายการของผมเวลาบำรุงรักษานะครับ ลองดูเป็นตัวอย่าง แต่ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ ขนาดผมนี่ช่างศูนย์เขาเรียกว่า "บ้า"
น้ำมันเครื่อง ทุก 10000 กม. (เปลี่ยนก่อนครบทุกหมื่นนิดหน่อย) ใช้สังเคราะห์แท้ เท่านั้น กึ่งสังเคราะห์ไม่เคยแตะ
กรองน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนทุกครั้งพร้อมน้ำมันเครื่อง
ไส้กรองอากาศ ปกติเขาเปลี่ยนทุก 20000 กม. ผมเปลี่ยนทุก 10000 กม. ไม่เคยเป่าทำความสะอาด เปลี่ยนเท่านั้น
น้ำมันเกียร์ ถ้าจำไม่ผิดจะเปลี่ยนทุก 40000 กม. ผมเปลี่ยนทุก 20000 กม. มาตั้งแต่ออกรถ
น้ำยาหม้อน้ำ ปกติเปลี่ยนทุก 40000 กม. ผมเปลี่ยนแทบจะทุก 10000 กม. แต่ไม่เคยเลย 20000 กม. จะเปลี่ยนครั้งนึง
กรองดีเซล อันนี้จัดไปทุก 10000 กม. น้ำมันบ้านเราคุณภาพแย่ ที่ว่าแน่ๆ แพงๆ แรงๆ ก็สกปรกถ้าไปเจอน้ำมันก้นถัง
น้ำมันเบรก น้ำมันพาวเวอร์ น้ำมันเฟืองท้าย เปลี่ยนก่อนกำหนด 10000 กม.
และยังมีรายการอะไหล่อื่นๆ ที่พอเริ่มมีอาการ ผมจะเปลี่่ยนทันที
วาล์วน้ำ ใช้รถมา 90000 กม. เปลี่ยนไปแล้ว 2 ตัว ตัวแรกเสีย วาล์วน้ำยัน เปิดไม่สุด ตัวที่สองเหมือนจะเริ่มมีอาการ เลยเปลี่ยนไปเลย
พัดลมฟรีปั๊ม มีอาการเหมือนมันจะฟรีมากเกิน ครั้งแรกใช้วิธีเติมน้ำยา ช่างเอาน้ำยาโตโยต้ามาเติม (ของมิตซูไม่มีขาย) เติมแล้วไม่ดี เสียงดัง ต้องไปเอาน้ำยาออก พอเอาออกแล้วก็ฟรีเกิน เลยไม่แก้ละ จัดการเปลี่ยนใหม่ทั้งชุดเลย ใบพัดก็เปลี่ยน
สายพานไทม์มิ่ง ปกติเปลี่ยนที่แสนโล ผมเพิ่งเปลี่ยนไปเมื่อวานที่หลักไมล์ 92000 โล
ในการเปลี่ยนสายพานไทม์มิ่ง ปกติจะมีสเปเซอร์อยู่ 2-3 ตัวที่ช่างส่วนใหญ่จะไม่เปลี่ยนให้ แต่จะเอาของเดิมใช้ต่อ ผมจัดการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด (เรื่องนี้รอรายละเอียดในกระทู้ใหม่นะครับ เดี๋ยวหนูขาวจะมาเปิดกระทู้เข้าห้องทดลองอันใหม่ตอน "การเปลี่ยนสายพานไทม์มิ่ง กำลังเรียบเรียงข้อมูลอยู่ครับ)
ปั๊มน้ำ ปกติช่างจะแนะนำว่าไม่ต้องเปลี่ยน ให้ไปเปลี่ยนที่ 200000โล แต่ตอนเปลี่ยนสายพานไทม์มิ่ง ไหนๆก็รื้อมาแล้วเลยจัดมาเปลี่ยนไปซะเลย
SCV จริงๆไม่ต้องเปลี่ยน และของผมยังไม่เสีย แต่สั่งอะไหล่ไปแล้ว รอของอยู่ ได้ของมาเมื่อไหร่ก็เปลี่ยน
ล่าสุดสั่งอะไหล่ซีลวาล์ว (ที่อยู่ด้านบนของเครื่อง) ทั้งชุด รออะไหล่เช่นกัน มาเมื่อไหร่จับเปลี่ยนให้หมดพร้อมล้างท่อไอดี
ประมาณนี้ครับเท่าที่นึกออก .... เปลี่ยนจนช่างบอกว่า "บ้า" ไปแล้วครับ :sd42: :sd42: :sd42:
ไม่ต้องเปลี่ยนขนาดนี้นะครับ ... สำหรับเครื่องที่ให้พลังงานหรือกำลังมาก รวมถึงความร้อนที่สูง สิ่งที่ควรเปลี่ยนบ่อยกว่าที่กำหนดคือพวกของเหลวต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันเครื่องกับน้ำมันเกียร์ 2 อย่างนี้สำคัญมาก และได้รับผลกระทบจากเครื่องที่มีกำลังสูงและความร้อนสูงอย่างมาก ส่วนอะไหล่อื่นๆที่ต้องระวังคือพวกซีลต่างๆครับ รถกำลังสูงความร้อนมากพวกซีลต่างๆจะไปเร็วกว่าเวลาอันควร ซีลบางอย่างมีในรายการต้องเปลี่ยนก็ควรเปลี่ยนก่อนเวลา ส่วนซีลบางรายการไม่มีในรายการเปลี่ยน (คือรอเสียแล้วเปลี่ยน) อันนี้ต้องคอยดู คอยสังเกตุ หากเห็นมีรอยรั่วซึมเพียงเล็กน้อยก็ควรเปลี่ยนไปเลยครับ
:sd23: :sd23:
หมูน้ำตาล:
--- อ้างจาก: ตูมตาม ที่ 15 สิงหาคม 2014, 10:19:15 ---มาเพิ่มเติมข้อมูลต่อจากข้อมูลของพ่อมดซักนิดนึง ... อย่าถามว่าเอาข้อมูลมาจากไหน ... บอกไม่ได้ เอาเป็นว่ามีพรายกระซิบมา
การนำ EGR เข้ามาใช้งานในเครื่องยนต์ มักถูกอ้างว่าเพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นการนำเอาไอเสียกลับมาเผาไหม้ใหม่อีกครั้ง เพื่อเผาไหม้ไอน้ำมันที่อยู่ในไอเสียให้หมด นัยว่าช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมในแง่ของลดไอน้ำมันที่ออกไปกับไอเสีย และช่วยประหยัดน้ำมัน เพราะเอาไอน้ำมันในไอเสียกลับมาเผาไหม้ใหม่
ประเด็นมันอยู่ที่ แล้วทำไมเครื่องยนต์ไม่เผาน้ำมันให้หมดไปในครั้งเดียว หรือก็คือการทำให้เกิดการสันดาบที่สมบูรณ์ที่สุดเพื่อไม่ให้ไอน้ำมันเหลือออกมาเลยตั้งแต่ต้น สามารถทำได้หรือไม่ ... คำตอบคือ ทำได้ เทคโนโลยีสมัยนี้ขนาดเอาน้ำมาเติมให้รถยังวิ่งได้ ถ้าคนซื้อไม่กลัวระเบิดไฮโดรเจน (เป็นเทคโนโลยีการแยกธาตุของน้ำคือ H2O โดยแยกเอา ไฮโดนเจนออกมาเป็นเชื้อเพลิง และ อ๊อกซิเจนเป็นตัวช่วยให้เกิดการสันดาปสมบูรณ์) แล้วทำไมกะอีแค่ทำให้เผาไหม้น้ำมันให้หมดจะทำไม่ได้ การสันดาปที่สมบูรณ์จะมีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าเยอะ และเป็นการใช้พลังงานที่คุ้มค่ามากกว่ามาก โดยหลักการบริษัทผลิตรถก็รู้ เทคโนโลยีก็มี แต่จะทำหรือไม่นั้นคืออีกเรื่องหนึ่ง
การสร้างเครื่องยนต์ที่สันดาปได้สมบูรณ์จะต้องเป็นเครื่องยนต์ที่มีความทนทานสูง เพราะการสันดาปที่สมบูรณ์ทำให้เกิดพลังงานและความร้อนที่สูงกว่า วัสดุต่างๆที่ใช้ผลิตเครื่องยนต์ย่อมต้องมีคุณภาพและความทนทานอย่างมาก รวมถึงระบบระบายความร้อนที่จะต้องเพิ่มขึ้นไปอีกเพื่อให้เครื่องยนต์สามารถระบายความร้อนได้ทัน ซึ่งนั่นหมายความว่าต้นทุนการผลิตที่จะต้องเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผู้ซื้อเองก็อาจจะไม่พร้อมที่จะจ่ายในราคาที่สูงขึ้น
ดังนั้นการผลิตเครื่องยนต์ให้สันดาปได้ดีในระดับหนึ่ง ไม่ต้องถึงขนาดสมบูรณ์ แต่สามารถลดต้นทุนการผลิตลงมาเพื่อให้สามารถขายได้ในระดับราคาที่ผู้ซื้อพอใจจึงกลายเป็นทางเลือกที่ Happy กันทุกฝ่าย การนำไอเสียกลับมาเผาไหม้ใหม่ โดยผ่าน EGR นั้นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ เพราะปริมาณอากาศดีน้อยลง อ๊อกซิเจนลดลง การเผาไหม้ก็ไม่สมบูรณ์ ซึ่งทำให้พลังงานและความร้อนที่เกิดขึ้นลดลงตามไปด้วย ดังนั้นหากนำระบบ EGR เข้ามาใช้ เครื่องยนต์ที่ผลิตขึ้นมาก็สามารถลดความทนทานลงได้บ้าง รวมถึงระบบระบายความร้อนก็สามารถลดลงตามไปด้วย เป็นส่วนหนึ่งช่วยในการลดต้นทุนการผลิตที่ลดลง ดังนั้นการนำระบบ EGR เข้ามาใช้จึงทำให้สามารถผลิตเครื่องยนต์ได้ในต้นทุนที่ต่ำลง แต่ก็ต้องแลกกับความทนทานที่ลดลงตามไปด้วย แต่ยังมีความทนทานในระดับที่รองรับการใช้งานได้อย่างปกติ ตราบเท่าที่ระบบ EGR ยังใช้งานอยู่
ดังนั้นการอุด EGR ซึ่งทำให้ไอเสียไม่สามารถกลับเข้ามาในระบบเผาไหม้นั้นจึงเป็นการทำให้ได้พลังงานจากการเผาไหม้ที่มากกว่า และสิ่งที่ตามมาคือระดับความร้อนที่เกิดขึ้นสูงตามไปด้วย แต่อย่าลืมว่าเครื่องยนต์ที่ผลิตมานั้น คำนวนค่า Safety Factor เมื่อเปิดระบบ EGR ใช้งานอยู่ ดังนั้นการได้พลังงานที่มากขึ้นจากการอุด EGR ก็เป็นเหมือนการลด Safety Factor ของเครื่องให้ลดลง
ดังนั้นการอุดหรือไม่อุด EGR นั้นขอให้คิดใน 2 ด้าน
ด้านหนึ่งนั้น การอุดทำให้ได้พลังงานที่มากขึ้น ท่อร่วมไอดีสะอาดมากขึ้น การดูแลรักษาในส่วนของ EGR ลดลง และไม่ต้องมาล้างท่อไอดีให้เสียเงินเสียทอง
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ขอให้คำนึงไว้เสมอว่าการอุด EGR ทำให้ safety factor ของเครื่องยนต์ลดลง อะไหล่ส่วนอื่นๆที่ไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับพลังงานและความร้อนสูงจากการอุด EGR อาจมีการเสื่อมสภาพได้เร็วกว่าปกติ ดังนั้นการดูแลรักษาอาจจะต้องทำมากกว่าปกติ เพื่อให้เครื่องยนต์มีอายุยาวนาน
ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงมักจะเกิดจากผู้ใช้ไม่เข้าใจผลกระทบของการอุด EGR อย่างคบถ้วน อุดแล้ว แต่การบำรุงรักษาทำแค่ตามที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด (เขากำหนดตามการคำนวนว่าผู้ใช้ไม่อุด EGR) หรือบางที่แย่กว่านั้นคือไม่บำรุงรักษาตามที่กำหนดด้วย เมื่อมีอะไหล่บางส่วนพังเสียหาย ก็โทษว่ารถไม่ดี ผลิตไม่ดี แค่นั้น
นี่คือสิ่งที่ฟังพรายกระซิบมา
:L4399: :L4399:
ส่วนตัวผมนั้น อุด EGR ไปตอนประมาณไม่กี่พันกิโลเมตร และทำการบำรุงรักษามากกว่าปกติตามที่บริษัทกำหนด อะไหล่ที่ต้องเปลี่ยนตามระยะเวลา ผมจะเปลี่ยนก่อนกำหนด รวมถึงของเหลวต่างๆนั้นผมก็จะเปลี่ยนก่อนกำหนดเสมอ เพื่อชดเชย Safety Factor ของเครื่องที่ลดลงด้วย
--- End quote ---
ขอบคุณพี่ตูมตาม ครับผมขุดขึ้นมานิดเดียว แต่ได้ความรู้ขึ้นมาอีกมากเลยครับ :L6428: :L6428: :L6428:
หมูน้ำตาล:
--- อ้างจาก: ตูมตาม ที่ 15 สิงหาคม 2014, 12:18:29 ---รายการของผมเวลาบำรุงรักษานะครับ ลองดูเป็นตัวอย่าง แต่ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ ขนาดผมนี่ช่างศูนย์เขาเรียกว่า "บ้า"
น้ำมันเครื่อง ทุก 10000 กม. (เปลี่ยนก่อนครบทุกหมื่นนิดหน่อย) ใช้สังเคราะห์แท้ เท่านั้น กึ่งสังเคราะห์ไม่เคยแตะ
กรองน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนทุกครั้งพร้อมน้ำมันเครื่อง
ไส้กรองอากาศ ปกติเขาเปลี่ยนทุก 20000 กม. ผมเปลี่ยนทุก 10000 กม. ไม่เคยเป่าทำความสะอาด เปลี่ยนเท่านั้น
น้ำมันเกียร์ ถ้าจำไม่ผิดจะเปลี่ยนทุก 40000 กม. ผมเปลี่ยนทุก 20000 กม. มาตั้งแต่ออกรถ
น้ำยาหม้อน้ำ ปกติเปลี่ยนทุก 40000 กม. ผมเปลี่ยนแทบจะทุก 10000 กม. แต่ไม่เคยเลย 20000 กม. จะเปลี่ยนครั้งนึง
กรองดีเซล อันนี้จัดไปทุก 10000 กม. น้ำมันบ้านเราคุณภาพแย่ ที่ว่าแน่ๆ แพงๆ แรงๆ ก็สกปรกถ้าไปเจอน้ำมันก้นถัง
น้ำมันเบรก น้ำมันพาวเวอร์ น้ำมันเฟืองท้าย เปลี่ยนก่อนกำหนด 10000 กม.
และยังมีรายการอะไหล่อื่นๆ ที่พอเริ่มมีอาการ ผมจะเปลี่่ยนทันที
วาล์วน้ำ ใช้รถมา 90000 กม. เปลี่ยนไปแล้ว 2 ตัว ตัวแรกเสีย วาล์วน้ำยัน เปิดไม่สุด ตัวที่สองเหมือนจะเริ่มมีอาการ เลยเปลี่ยนไปเลย
พัดลมฟรีปั๊ม มีอาการเหมือนมันจะฟรีมากเกิน ครั้งแรกใช้วิธีเติมน้ำยา ช่างเอาน้ำยาโตโยต้ามาเติม (ของมิตซูไม่มีขาย) เติมแล้วไม่ดี เสียงดัง ต้องไปเอาน้ำยาออก พอเอาออกแล้วก็ฟรีเกิน เลยไม่แก้ละ จัดการเปลี่ยนใหม่ทั้งชุดเลย ใบพัดก็เปลี่ยน
สายพานไทม์มิ่ง ปกติเปลี่ยนที่แสนโล ผมเพิ่งเปลี่ยนไปเมื่อวานที่หลักไมล์ 92000 โล
ในการเปลี่ยนสายพานไทม์มิ่ง ปกติจะมีสเปเซอร์อยู่ 2-3 ตัวที่ช่างส่วนใหญ่จะไม่เปลี่ยนให้ แต่จะเอาของเดิมใช้ต่อ ผมจัดการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด (เรื่องนี้รอรายละเอียดในกระทู้ใหม่นะครับ เดี๋ยวหนูขาวจะมาเปิดกระทู้เข้าห้องทดลองอันใหม่ตอน "การเปลี่ยนสายพานไทม์มิ่ง กำลังเรียบเรียงข้อมูลอยู่ครับ)
ปั๊มน้ำ ปกติช่างจะแนะนำว่าไม่ต้องเปลี่ยน ให้ไปเปลี่ยนที่ 200000โล แต่ตอนเปลี่ยนสายพานไทม์มิ่ง ไหนๆก็รื้อมาแล้วเลยจัดมาเปลี่ยนไปซะเลย
SCV จริงๆไม่ต้องเปลี่ยน และของผมยังไม่เสีย แต่สั่งอะไหล่ไปแล้ว รอของอยู่ ได้ของมาเมื่อไหร่ก็เปลี่ยน
ล่าสุดสั่งอะไหล่ซีลวาล์ว (ที่อยู่ด้านบนของเครื่อง) ทั้งชุด รออะไหล่เช่นกัน มาเมื่อไหร่จับเปลี่ยนให้หมดพร้อมล้างท่อไอดี
ประมาณนี้ครับเท่าที่นึกออก .... เปลี่ยนจนช่างบอกว่า "บ้า" ไปแล้วครับ :sd42: :sd42: :sd42:
ไม่ต้องเปลี่ยนขนาดนี้นะครับ ... สำหรับเครื่องที่ให้พลังงานหรือกำลังมาก รวมถึงความร้อนที่สูง สิ่งที่ควรเปลี่ยนบ่อยกว่าที่กำหนดคือพวกของเหลวต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันเครื่องกับน้ำมันเกียร์ 2 อย่างนี้สำคัญมาก และได้รับผลกระทบจากเครื่องที่มีกำลังสูงและความร้อนสูงอย่างมาก ส่วนอะไหล่อื่นๆที่ต้องระวังคือพวกซีลต่างๆครับ รถกำลังสูงความร้อนมากพวกซีลต่างๆจะไปเร็วกว่าเวลาอันควร ซีลบางอย่างมีในรายการต้องเปลี่ยนก็ควรเปลี่ยนก่อนเวลา ส่วนซีลบางรายการไม่มีในรายการเปลี่ยน (คือรอเสียแล้วเปลี่ยน) อันนี้ต้องคอยดู คอยสังเกตุ หากเห็นมีรอยรั่วซึมเพียงเล็กน้อยก็ควรเปลี่ยนไปเลยครับ
:sd23: :sd23:
--- End quote ---
พี่ตูมตามครับ ดูแล้วค่าบำรุงรักษาขอพี่นี่ถ้าจะเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะครับ :L6415: :L6415: :L6415:
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version