ลองดูพี่ x
ใครๆ ก็ฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น แต่การซื้อบ้านมักจะมาพร้อมกับภาระทางการเงินก้อนโต และเป็นภาระที่จะอยู่กับเราไปเกือบครึ่งชีวิตเลยทีเดียว ยิ่งสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มผ่อนในช่วงแรกๆ แล้ว ยอดเงินต้นและดอกเบี้ยในใบเสร็จรับเงินกับทางธนาคาร มักจะเป็นสิ่งที่บั่นทอนกำลังใจในการทำฝันให้เป็นจริง เพราะยอดเงินต้นลดไปเพียงเล็กน้อย แต่ยอดดอกเบี้ยนั้นมากมาย จนทำให้รู้สึกว่า “การผ่อนบ้านนั้นช่างยาวนานเสียเหลือเกิน” ดังนั้น ส่วนใหญ่แล้ว พวกเราก็อยากปิดหนี้ไวๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยแพงๆ ทุกเดือน
อันที่จริง สำหรับผู้มีภาระผ่อนบ้าน คงไม่มีทางที่จะรู้สึก “เป็นสุข” ได้อย่างเต็มอก แต่ก็พอจะมีวิธีที่ช่วยให้รู้สึก “ดีขึ้น” อยู่ได้บ้าง และวิธีที่ว่านั้นก็คือ “การรีไฟแนนซ์” นั่นเองครับ ว่าแต่การรีไฟแนนซ์คืออะไร เอาเป็นว่าผมขอสรุปสั้นๆ ดังนี้ครับ การรีไฟแนนซ์ คือการกู้เงินก้อนใหม่ไปชำระหนี้เดิม โดยได้รับประโยชน์ในเชิงอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและ/หรือระยะเวลาการกู้ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้จ่ายค่างวดถูกลงและ/หรือผ่อนได้นานขึ้นนั่นเองครับ นอกจากนี้ สถาบันการเงินแห่งใหม่อาจจะยื่นข้อเสนออื่นๆ ให้อีก เช่น เพิ่มวงเงินกู้ หากมูลค่าบ้านในการประเมินในครั้งใหม่นี้สูงกว่ายอดหนี้ที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะตัดสินใจรีไฟแนนซ์ เราควรพิจารณาข้อดีข้อจำกัดกันก่อนครับ และผมก็มีข้อควรพิจารณามาฝากกัน 3 ประเด็นครับ
1.ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ ก่อนจะตัดสินใจรีไฟแนนซ์ เราควรรวบรวมค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นก่อน ดังนี้ครับ
· ค่าใช้จ่ายให้กับสถาบันการเงินแห่งเดิม ได้แก่ ค่าปรับในกรณีไถ่ถอนหลักประกันก่อนระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งระยะเวลาโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 3 ปีนับจากวันเริ่มกู้ โดยจะคิดค่าปรับประมาณ 2-3% ของยอดหนี้
· ค่าใช้จ่ายให้กับสถาบันการเงินแห่งใหม่ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการประเมินมูลค่าหลักประกัน ค่าธรรมเนียมการใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ และค่าธรรมเนียมการทำประกันอัคคีภัยเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง หากยังมีกรมธรรม์เดิมอยู่ เราก็สามารถแจ้งยกเลิกการโอนผลประโยชน์จากสถาบันการเงินเดิม แล้วเปลี่ยนเป็นยกผลประโยชน์ให้กับสถาบันการเงินแห่งใหม่ได้ครับ
· ค่าใช้จ่ายให้กับกรมที่ดิน ได้แก่ ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้ และค่าอากรแสตมป์อีก 0.05%
2.ผลประโยชน์ที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากการรีไฟแนนซ์ หากเหตุผลหลักในการรีไฟแนนซ์คือต้องการลดอัตราดอกเบี้ยให้เราจ่ายน้อยลง เราก็ต้องมาดูผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงินจากการลดดอกเบี้ย เช่น
หากมียอดหนี้ที่ต้องการโอน 1 ล้านบาท ปัจจุบันเสียดอกเบี้ยอยู่ที่ 7.13% ต่อปี สถาบันการเงินแห่งใหม่เสนอการรีไฟแนนซ์ที่อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 3 ปี ที่ 3.45% ต่อปี คิดเป็นส่วนต่างดอกเบี้ย 3.68% ต่อปี เท่ากับว่าเดิมที่ต้องเสียดอกเบี้ยรวม 3 ปี (คิดแบบลดต้นลดดอก) ประมาณ 206,317 บาท หากใช้อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ (คิดแบบลดต้นลดดอก) เท่ากับ 98,074 บาท นั่นคือ เราจะสามารถประหยัดได้ถึง 108,523 บาทเลยทีเดียว
3.เงื่อนไขอื่นๆ เช่น
•พิจารณายอดหนี้คงเหลือและระยะเวลาผ่อนชำระ หากยอดหนี้เหลือไม่มาก และเหลือระยะเวลาผ่อนเพียง 1-2 ปี การรีไฟแนนซ์อาจเป็นการตัดสินใจที่ได้ไม่คุ้มเสีย อาจใช้เงินโบนัสมาโปะหรือปิดหนี้เลยจะดีกว่า
•พิจารณาเงื่อนไขอัตรดอกเบี้ยคงที่ สถาบันการเงินบางแห่งมีเงื่อนไขกำหนดให้การผ่อนค่างวดรายเดือนได้ไม่เกิน 2 เท่าของยอดผ่อนชำระต่อเดือน โดยกำหนดเงื่อนไขค่าปรับในกรณีชำระหนี้ก่อนกำหนด เท่ากับว่า ต่อให้เรามีเงินมากพอ ก็ไม่สามารถลดยอดหนี้ได้ในระยะเวลาที่ใช้อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ ซึ่งหากชำระมากกว่าค่างวดที่กำหนด จะต้องเสียค่าปรับในส่วนที่จ่ายเกิน
•พิจารณาค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินเรื่องหรือเกิดขึ้นหลังจากรีไฟแนนซ์ เช่น ค่าเดินทาง ค่าเสียเวลา หรือหากเรามีโครงการที่จะขายบ้านในช่วงระยะเวลาก่อน 3 ปี สถาบันการเงินแห่งใหม่อาจมีค่าธรรมเนียมในการปิดบัญชีก่อนกำหนด ซึ่งมักจะคิดในอัตรา 2-3% ของวงเงินกู้
การวางแผนรีไฟแนนซ์จะคุ้มค่าหรือไม่นั้น เราควรเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย พิจารณาผลประโยชน์และเงื่อนไขอื่นๆ ที่กล่าวไปในเบื้องต้น เพื่อให้เป็นประโยชน์กับเราให้มากที่สุดครับ
เครดิตของ
http://www.oknation.net/blog/k-weplan/2012/05/25/entry-1ok nation blog