กับการเดินทางเพื่อทรมานตัวเองครั้งที่ 7 โดยครั้งนี้เป็นการเดินทางร่วมกันสองคนกับหวานใจของผมที่คบกันมาใกล้จะครบ 2 ปีแล้ว จะว่าไปมันก็ช่างรวดเร็วซะเหลือเกิน ยังจำได้ว่ายังตามจีบเมื่อไม่นานมานี่เอง ครั้งที่ 7 ของผม และเป็นครั้งที่ 2 ของเธอ โดยครั้งก่อน เราเดินทางมาแบบกลุ่มใหญ่ แน่นอนว่าความใกล้ชิดของผมและเธอค่อนข้างห่างเหิน เนื่องจากมีเพื่อนๆที่ผมต้องคอยเทคแคร์ในฐานะผู้ที่มีความคุ้นเคยกับภูกระดึงมากกว่าใครเพื่อน การเดินทางในครั้งนี้ค่อนข้างจะมีอุปสรรคทั้งขาไปและขากลับ ผมหมายถึง....รถทัวร์ที่เราใช้บริการครับ รถห่วยมากครับ รวมทั้งบริการที่ไม่เป็นมืออาชีพเอาซะเลย ขาไปต้องรอรถถึงชั่วโมงครึ่งทั้งๆที่รถคันที่จะไปมาจอดรอที่ชานชาลาตั้งนานแล้ว แต่มันเป็นรถเสริมโดยเป็นรถหนองบัวลำภู ไม่ใช่กรุงเทพฯ-เลย แล้วพอผ่านหนองแคได้นิดหน่อย รถก็ดันมามีปัญหา ต้องรอเปลี่ยนรถอีกเกือบชั่วโมง ไปถึงที่หมายช้าไปชั่วโมงครึ่ง ส่วนขากลับก็นอนไม่ได้เลย เพราะที่นั่งมันโยกไปมาได้ทั้งคู่เลย แถมยังมีน้ำแอร์หยดลงมาเป็นระยะๆ เฮ้อ....อะไรจะซว....ย ได้ขนาดนั้น
ครั้งนี้เราตั้งใจกันว่าจะต้องไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นให้ได้ เนื่องจากคราวก่อนตื่นกันไม่ไหว แล้วก็โชคไม่เข้าข้างอีก เช้าวันนั้น....ฝนตกลงมาปรอยๆ ตั้งแต่ตี 3 ยันเจ็ดโมงเช้า ก็เลยอดไปดูพระอาทิตย์ขึ้นจนได้ แต่ไม่เป็นไร ยังมีวันพรุ่งนี้อีกหนึ่งวันก่อนที่จะกลับ วันนี้เราก็เลยไปผาหล่มสักกันก่อน เส้นทางที่เราใช้จะเป็นคนละเส้นทางกับคราวก่อนที่เราไปทางด้านในซึ่งจะมีน้ำตก และผ่านสระอโนดาต แต่คราวนี้เราใช้เส้นทางเลาะหน้าผาไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็จะมีอะไรให้ตื่นเต้นกันเป็นระยะๆ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ มันคือ....ดอกไม้แปลกๆ เล็กๆ ข้างทาง เราสนุกกับการถ่ายรูปมาก แม้ว่าจะไม่ใช่เลนส์สำหรับถ่ายมาโคร แต่เราก็สนุกกับการถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ไล่ไปตั้งแต่ผาหมากดูก ผานาน้อย ผาจำศึล ผาเหยียบเมฆ ผาแดง และสุดท้ายคือผาหล่มสัก ที่เรียกว่าผาหล่มสักก็เพราะด้านล่างเป็นเขตอำเภอหล่มสัก จ.เพชรบูรญ์นั่นเอง ก่อนจะถึงผาหล่มสักก็มีเพื่อนร่วมทางที่กำลังเดินกลับก็เลยแปลกใจว่าทำไมเค้าไม่รอจนพระอาทิตย์ตก จะได้ถ่ายภาพสวยๆช่วงทไวไลท์ แต่ก็ได้คำตอบที่ไม่อยากได้ยินเลย นั่นก็เพราะหมอกลงจัดมาก ยังงัยก็ไม่เห็นพระอาทิตย์ตกแน่นอน แล้วก็เป็นอย่างที่เค้าว่าแหละครับ พอจะถึงผาหล่มสักก็เห็นหมอกลงจนเห็นได้ชัดว่ามันหนามาก อากาศเย็นๆอยู่แล้ว เจอหมอกเข้าให้อีก บวกกับได้ลมที่พัดจากหน้าผาเข้ามาอีก....ไม่ต้องบรรยายครับว่าจะหนาวเย็นแค่ไหน (แต่ผมชอบนะ อิอิอิ) ว่าแล้วเราก็ได้ภาพถ่ายกับมุมมหาชนนิยมของผาหล่มสัก ซึ่งแทนที่จะเป็นริ้วแสงสีของท้องฟ้าอย่างที่ควรจะเป็น กลับกลายเป็นท้องฟ้าขาวโพลนไปด้วยหมอก ก็แปลกตาดีเหมือนกัน แล้วเราก็รีบเดินทางกลับเพื่อที่จะไปรอชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกซึ่งเป็นอีกจุดนึงที่จะสามารถเห็นพระอาทิตย์ตกได้ โดยในวันนี้ผาหมากดูกไม่มีหมอกลงเหมือนผาหล่มสัก ทำให้ได้เห็นท้องฟ้าและเมฆสวยๆ แต่….ก็ยังไม่เห็นวี่แววของดวงอาทิตย์อยู่ดีเพราะถูกเมฆไกลๆมาบัง ค่ำแล้วเราก็เดินทางกลับที่พัก ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทั้งวัน เราเลยซัดชุดใหญ่เลยครับ จิ้มจุ่มหมูน้ำซุปต้มยำ (อร่อยมว๊าาาาาก) ตามด้วยไก่ทอดสมุนไพร และ…..ไข่ปิ้งอีกชุดใหญ่ คื่นนี้เราหลับสบายมากครับ แม้จะมีสมาชิกใหม่มาเพิ่มข้างๆเต๊นต์พร้อมด้วยเสียงกรนแบบเซอร์ราวดน์ทั่วทุกทิศ แต่ผมไม่ได้ยินหรอกนะตั้งแต่วางหัวถึงหมอนผมก็ฝันเลย 555 เอาล่ะ....เช้าวันรุ่งขึ้นเราจะต้องไปดูพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้ ว่าแล้วตี 3 ก็มีเสียงนาฬิกาของเต๊นท์ข้างๆปลุก สงสัยจะตื่นเต้นมั้ง ส่วนผมขอนอนต่อ กำลังหลับสบายๆก็ต้องสะดุ้งตื่นอีก เมื่อเต๊นต์ข้างๆอีกฝั่งนึงก็มีเสียงปลุกเหมือนกัน แต่มันเพิ่งจะตี 4 เองนะ โอ้…แม่จ้าวววว ผมไม่นอนแล้วครับ ตื่นเป็นตื่น
เราลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็ไปตั้งแถวเพื่อเดินทางตามเจ้าหน้าที่ ซึ่งเส้นทางนี้จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่เดินนำทางเนื่องจากเป็นเส้นทางที่อันตราย ที่ว่าอันตรายก็เพราะว่าเป็นถิ่นหากินของฝูงช้างป่า และช้างป่าค่อนข้างดุร้าย เคยมีประวัตินักท่องเที่ยวถูกช้างทำร้ายมาแล้ว โดยก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเดินนำทางนั้น จะมีเจ้าหน้าที่อีกชุดนึงออกเดินทางสำรวจก่อน ว่าฝูงช้างอยู่ในเส้นทางเดินไปผานกแอ่นหรือไม่ ถ้าปลอดภัยเจ้าหน้าที่จึงจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปได้ โดยคนที่ไปสำรวจนั้นจะขับรถไถ หรือบางทีเป็นรถแทรคเตอร์ไปสำรวจ เพราะช้างจะกลัวรถแทรคเตอร์ครับ
สองปีก่อน ผมมารอถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ รอตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ จนเกือบเที่ยง จึงจะได้เห็นพระอาทิตย์ เนื่องจากหมอกลงจัด และครั้งนี้ก็เช่นกัน เจ้าหน้าที่บอกว่าวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นก่อนเที่ยงแน่นอน ใครอยากกลับก็กลับได้เลย ไม่ต้องรอ แต่ผมเป็นประเภทด้อด้านอ่ะครับ ก็เลยไม่ได้กลับ จึงทำให้ผมไม่พลาดโอกาสที่จะได้เห็นแสงอาทิตย์ส่องจากบนฟ้าผ่านเมฆแล้วลงไปสู่พิ้นดิน ภาพนั้นยังไม่ลืมเลือนจากความทรงจำผมเลยครับ เพราะมันสวยมาก เหมือนอยู่บนสวรรค์ยังงัยยังงั้น อย่างน้อยก็ไม่เสียเที่ยวซะทีเดียว แล้วเราก็เป็นคู่สุดท้ายที่เดินทางกลับที่พัก
หลังจากเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อย เราก็อำลาภูกระดึงโดยการทิ้งทวนด้วยจิ้มจุ่มอีกหนึ่งชุดใหญ่ แล้วก็ออกเดินทางเป็นกลุ่มสุดท้าย(อีกแล้ว) ขาลงนั้นง่ายกว่าขาขึ้นมากเลย เพราะอาศัยหลักการฟรีรันนิ่ง บางช่วงก็เดินเร็ว บางช่วงก็วิ่งลง แต่แล้ว....หลังจากที่เหลือระยะทางประมาณ 3 กิโล หัวเข่าของหวานใจผมก็มามีอันเป็นไป ทำให้เราต้องค่อยๆประคองกันลงมา ถ้าใครมาเห็นเราประคองกันลงมาตลอดทางละก้อ....คงอิจฉาเป็นแน่แท้ แม่ค้าพ่อค้าที่แซงเราไปต่างก็ชมกันเป็นเสียงเดียวเลยว่าแฟน(หมายถึงผมนะครับ)น่ารักจัง 55555 ได้หน้าๆ เนื่องจากเราจองตั๋วรถไว้ดึกหน่อย เราเลยมีเวลาแวะเที่ยวชมงานวันลอยกระทงของ อ.ภูกระดึง ชมประกวดนางนพมาศ ได้ลอยกระทงกัน แม้ว่ากระทงจะยังไม่ทันไปไหนไกลก็โดนวัยโจ๋ล่มกระทงหาตังส์ซะก่อน เฮ้อ…..แอบเซ็งเหมือนกัน
สำหรับทริปต่อไปคือครั้งที่ 8 ครั้งนี้น่าจะประมาณเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าครับ ไปดูใบไม้ร่วง และบางต้นเริ่มแตกใบอ่อน โดยในคราวนี้จะไม่มีน้องส้ม หวานใจของผมไปด้วย เพราะผมจะไปค้างอย่างน้อยก็ 5 คืน โดยเพื่อนร่วมทริปอาจจะเป็นฝรั่งที่พัทยาที่โหยหา อยากให้ผมพาไปซักครั้ง เอาให้คุ้มครับ ร่างกายผมไม่ค่อยได้ออกกำลังเท่าไหร่ เลยอยากให้ปอดได้ถูกใช้งานหนักๆบ้าง ใครสนใจอยากเป็นแนวร่วมก็ยินดีนะครับผม