สำหรับผม รูปที่ถ่ายกับน้องคนนี้เป็นรูปที่ประทับใจที่สุดของการมาปั่นทริปนี้ครับ

ยางล้อหลังผมเกิดแตกก่อนเข้าเส้นชัยร่วมยี่สิบโล มองหน้ามองหลังไม่มีวี่แววของรถเชอร์วิสเลย จึงตัดสินใจเดินจูงยานไปเรื่อยๆ หวังว่าเดี๋ยวคงมีเจ้าหน้าที่มาเจอบ้างละ
เดินไปก็เหลียวหลังไป แดดก็ไม่ปราณีเลย ใจก็เริ่มคำนวนเวลาว่าปกติซ้อมวิ่งชั่วโมงนึงก็ได้ประมาณเจ็ดแปดโล นี่เดินจูงยานสามชั่งโมงจะถึงมั๊ยเนีย

เดินไปได้อีกสักพัก หันหลังไปก็เห็นมอไซค์ขี่มาคันนึง มองไกลๆเหมือนจะใส่เสื้อของเจ้าหน้าที่ เลยโบกมือไว้ก่อน พอมอไซค์จอดปรากฏว่าไม่ใช่ แต่น้องเขาก็แสดงนํ้าใจและอาสาไปส่งข้างหน้า ได้ยินแค่นั้นผมก็เหมือนรอดตายแล้ว ไปตายเอาดาบหน้าก็ยังดี แบกยานขึ้นบ่าแล้วตะกายขึ้นซ้อนท้ายเลย
หลังน้องเขาขี่มาได้สักพัก แขนผมเริ่มแบกยานไม่ไหวครับ นี่อุตสาห์ลงทุนกับล้อเฟรมคาร์บอนแล้วนะทำไมมันหนักอย่างนี้ จนต้องขอให้น้องเขาจอดพักแขนและเทนํ้าในกระติกทิ้งเพื่อลดนํ้าหนักอีก จากนั้นก็ไปกันต่อ
โชคดีที่น้องเขาขี่ไปได้อีกสักพักก็ถึงบ้านพอดี ผมก็กะจะโทรหาพรรคพวกเพื่อขอความช่วยเหลือเพราะคิดว่าพี่มานพกับพี่ตูมตามน่าจะเข้าเส้นชัยไปแล้ว
แต่น้องเขาใจดีมาก บอกผมว่าถ้าติดต่อเพื่อนไม่ได้ยังไงเดี๋ยวแกเอาซาเล้งไปส่งก็ได้ ผมนี่เหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะกุญแจรถพี่ตามน่าจะอยู่ที่รร. ขณะเดียวกันผมเป็นคนถือกุญแจห้องไว้

สุดท้ายผมจึงตัดสินใจเลือกที่จะรบกวนน้องเขาให้พาไปส่งที่รร.เลย
เมื่อถึงที่หมายใจก็อยากตอบแทนนํ้าใจของน้องเขา แต่ก็อดห่วงไม่ได้ในการสื่อสารไม่ดีแล้วจะทำให้น้องเขาเข้าใจผิด เลยบอกน้องเขาไปว่าระยะทางไปกลับก็ร่วม3-4สิบโล ขอช่วยค่านํ้ามันหน่อยเถอะนะ แต่ก็ตามที่ผมคิดไว้เลย น้องเขามีจิตใจงามขนาดนั้น ไม่หวังเรื่องผลตอบแทนแน่นอน ปฏิเสธไม่ยอมรับ บอกว่าคนไทยด้วยกันช่วยเหลือกัน ฟังแล้วซึ้งหลายชั้นเลยครับ จึงขออนุญาตถ่ายรูปคู่ด้วยเพื่อที่จะได้นำเอาความมีนํ้าใจของน้องเขามาเล่าสู่เพื่อนๆให้รับทราบกัน แต่ผมนี่แย่มากคือตลอดร่วมครึ่งชั่วโมงที่อยู่ด้วยกัน ผมกลับไม่ได้ถามชื่อน้องเขาไว้เลย เฮงซวยจริงๆ

ต้องขอโทษและขอขอบคุณน้องไว้ตรงนี้ด้วยที่ทำให้ความโชคร้ายของผมกลายเป็นความโชคดีครับ





