เครดิต
http://www.peoplevalue.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539103756&Ntype=1ก่อนเกษียน ไม่เคยคิดจะอ่านเลย My God มนุษย์ เงินเดือน อ่านหน่อยครับ พอพูดถึงคำว่า “เกษียณ” หลายคนคงคิดถึงคนทำงานแก่ๆที่อายุไม่น้อยกว่า 55 ปีขึ้นไป และคนในวัยหนุ่มสาวรู้สึกว่าคำๆนี้ยังห่างไกลจากชีวิตตัวเองมาก ก็เลยไม่ค่อยให้ความสำคัญมากนัก จนอายุใกล้ๆหกสิบแล้วค่อยคิดถึงชีวิตหลังเกษียณ คนทำงานในบ้านมักจะคิดและดำเนินชีวิตเช่นนี้มาโดยตลอด
แต่...คำว่า “เกษียณ” ที่ผมกำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะการเกษียณด้วยอายุตัวที่มากตามที่องค์กรต่างๆกำหนดไว้ แต่หมายถึง ชีวิตหลังการทำงานประจำ เป็นชีวิตแห่งการพักผ่อน เป็นช่วงชีวิตแห่งอิสระที่อยากจะทำอะไรตามที่ใจคิดได้ อยากไปเที่ยวก็ไปได้ อยากจะทำประโยชน์เพื่อสังคมก็ทำได้ อยากจะหยุดอยู่บ้านเฉยๆก็ทำได้ ฯลฯ
ดังนั้น คำว่า “เกษียณ” จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุตัว คนอายุยี่สิบสามสิบก็สามารถเกษียณตัวเองได้ ถ้ามีทรัพย์สมบัติมากเพียงพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ตลอดชีวิต ผมเคยเห็นคนหนุ่มสาวบางคนอายุยังไม่มากและเกษียณตัวเองจากการทำงานประจำ คนเหล่านี้ใช้ชีวิตในการทำงานหาเงินเพียงไม่กี่ปี และเงินที่หามาได้สามารถเลี้ยงตัวเองได้ตลอดชีวิต อย่างนี้ก็สามารถเรียกกว่า “เกษียณ”ได้เช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมเชื่อว่าการเกษียณจึงไม่ใช่เรื่องที่ห่างไกลกับชีวิตคนทำงานในวัยหนุ่มสาวอีกต่อไป คนทำงานทุกวัน ควรจะใส่ใจและให้ความสำคัญกับการบริหารชีวิตหลังเกษียณให้มากขึ้น ผมไม่อยากเห็นคนไทยใช้ชีวิตหลังเกษียณอยู่บ้านเพียงอย่างเดียว เพราะอายุมาก สุขภาพแย่ เงินไม่มี จึงไปไหนไม่ได้ ผมอยากให้คนที่เกษียณในบ้านเราใช้ชีวิตอย่างอิสระ มีความสุข และสามารถนำเอาผลพวงแห่งความสุขนั้นไปช่วยเหลือสังคมบ้าง
เมื่อไหร่ก็ตามเรายังยึดติดกับการเกษียณด้วยอายุแล้ว ผมเชื่อว่าคนที่มีกำลังกายและกำลังสมองก็จะถูกใช้งานในฐานะของลูกจ้างไม่สามารถไปทำประโยชน์อะไรให้กับใครได้นอกเหนือจากประโยชน์ของนายจ้างและตัวเอง คนทำงานเปรียบเสมือนคนที่ถูกล่ามเชือกหรือโซ่ที่ต้องสาละวนอยู่กับหน้าที่ความรับผิดชอบที่ถูกกำหนดโดยคนอื่น ไปไหนไม่ได้ ชีวิตอยู่กับเงื่อนไข “ถ้า........., แล้ว.........” อยู่ตลอดเวลา เช่นถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีเงินเดือน ถ้าไม่ขยันก็อาจจะตกงาน ฯลฯ และสุดท้ายก็ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความจำเจ หาเช้ากินค่ำ หาต้นเดือนกินปลายเดือนอยู่ร่ำไป พูดง่ายๆว่าคนเก่งๆในสังคมจะถูกจับจองเป็นเจ้าของโดยองค์กรต่างๆ ถูกตีตราว่าคนนั้นคือพนักงานขององค์กรนี้ คนนี้คือพนักงานขององค์กรนั้น เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตจึงถูกจำกัดโดยเงื่อนไขของการว่าจ้าง จึงทำให้คนทำงานขาดอิสระที่จะไปคิดไปทำอะไรตามที่ใจปรารถนา ทั้งๆที่ในความเป็นจริงสามารถทำได้ แต่คนส่วนใหญ่หมดกำลังใจที่จะแสวงหาโอกาสในยามวิกฤติ คนทำงานเหมือนคนที่ติดคุกทางใจที่นายจ้างกั้นลูกกรงซี่ห่างๆไว้ แต่คนทำงานจะเสริมลูกกรงให้มันมีความถี่ยิ่งขึ้น จนปิดกั้นจิตใจตัวเองไม่ให้วิ่งออกไปนอกกรง คนทำงานชอบคิด(เอาเอง)ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้หรอกเพราะเป็นลูกจ้างอยู่ อย่าไปคิดทำอะไรเลย มันเสี่ยงกว่าการเป็นลูกจ้าง
ผมเคยได้ยินว่านักโทษที่ติดคุกส่วนใหญ่ใช้ชีวิตเหมือนคนติดคุก แต่ก็มีนักโทษบางคนใช้ชีวิตในคุกได้อย่างคุ้มค่า เช่น มีนักโทษบางคนถือโอกาสฝึกอาชีพ บางคนฝึกชกมวยจนสามารถออกมาชกตามเวทีนอกคุกได้ บางคนใช้เวลาที่อยู่ในคุกแต่งหนังสือ ผมเคยได้ยินเพลงลูกทุ่งเพลงหนึ่งดีเจประกาศว่าคนแต่งคือนักโทษในคุก นอกจากนี้มีนักโทษหลายคนที่ใช้เวลาที่อยู่ในคุกสร้างโอกาสให้กับตัวเองในการศึกษาต่อจนจบในระดับต่างๆ ฯลฯ จากตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าคนติดคุกเขาติดคุกเฉพาะร่างกายเท่านั้น แต่ใจเขาไม่ได้ติดคุกไปด้วย จิตใจและสมองของเขายังมีอิสระที่จะคิดที่จะทำอะไรตามที่ใจต้องการภายใต้ข้อจัดที่คนอื่นเห็นว่าเป็นวิกฤติ ในขณะที่คนเหล่านี้คิดว่ามันเป็นโอกาสเพราะมีเวลาว่างเยอะ ไม่มีภาระใดๆในการทำงาน ซึ่งตรงกันข้ามกับคนทำงานที่ร่างกายมีอิสระ แต่ใจติดคุกแทน และเป็นคุกที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองเสียส่วนใหญ่ ใครก็ตามที่ใจติดคุกทางใจ แม้กระทั่งการหายใจเพื่อความอยู่รอดก็ยังรู้สึกเหนื่อย
แต่ถ้าเราสามารถสร้างค่านิยมให้คนไทยเกษียณตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งแต่กำลังกายและกำลังสมองยังแข็งแรงอยู่ ผมเชื่อว่าคนเกษียณเหล่านี้มีโอกาสออกมาสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไทยของเราได้มากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อชีวิตของเราไม่ต้องหาเช้ากินค่ำ ชีวิตของเขามีอิสระมากขึ้น การคิดถึงคนอื่นก็จะเพิ่มมากขึ้น โอกาสที่จะช่วยเหลือคนอื่นนอกเหนือจากตัวเองและนายจ้างก็มีมากขึ้นเช่นกัน
เทคนิคการวางแผนเพื่อการเกษียณตัวเองจากงานประจำ ถามตัวเองว่าอยากเกษียณออกจากงานประจำหรือไม่ เพราะอะไร? คำถามนี้ต้องเป็นคำถามแรกสำหรับทุกคน เพราะถ้ายังไม่มีคำตอบ และตอบว่า “ไม่อยาก” ก็อย่าเพิ่งไปสร้างความลำบากให้กับชีวิตเลย ทำงานเป็น “มนุษย์เงินเดือน” ทำงานไปเดือนๆรับเงินไปเดือนๆก็สบายดีอยู่แล้ว อย่าหาเรื่องให้ตัวเองลำบากมากไปกว่านี้เลยครับ
แต่..ถ้าใครที่ตอบว่า “อยาก” ก็ยังมีนัยอยู่สองอย่างคือ คุณอยากเกษียณเพราะเบื่องานประจำที่ทำอยู่ หรือไม่ก็คุณมีไฟที่อยากจะทำอะไรที่คุณคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ใครที่อยากเกษียณเพราะเบื่องานประจำ ขอแนะนำว่าขอให้คิดเสียใหม่ และอย่าเพิ่งคิดหรือทำอะไรต่อเลย เพราะขนาดทำงานประจำคุณยังรู้สึกเบื่อ แล้วจะแน่ใจได้ว่าถ้าเกษียณจากงานประจำไปทำอาชีพอิสระหรืออยู่บ้านเฉยๆคุณจะไม่เบื่ออีก ใครก็ตามที่เกิดความรู้สึกเบื่อบ่อยๆ รับรองได้ว่าไม่ว่าคุณจะไปอยู่ที่ไหน ทำอะไร ความเบื่อก็จะมาเยือนคุณอย่างสม่ำเสมอ
ถ้าอยากจะเกษียณออกจากงานประจำ อยากจะเริ่มเมื่ออายุเท่าไหร? ใครตอบคำถามข้อแรกได้ว่า “อยาก” และอยากเกษียณเพราะรู้สึกว่าอยากจะออกไปทำในสิ่งที่ตัวเองรักตัวเองชอบหรืออยากจะออกไปทำประโยชน์ให้สังคมที่กว้างกว่านี้ ก็ต้องถามตัวเองต่อว่า แล้วคิดว่าอยากจะเกษียณอายุจากงานประจำตอนอายุประมาณเท่าไหร่ เมื่อบวกลบกับอายุปัจจุบันแล้ว เหลือเวลาวางแผนเพื่อเตรียมตัวเกษียณตัวเองจากการเป็นลูกจ้างอีกกี่ปี
สิ่งที่อยากจะทำหลังจากออกจากงานประจำคืออะไร? เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองอยากจะเกษียณจากการทำงานประจำอายุเท่าไหร่ ต้องถามต่อว่าแล้วชีวิตหลังเกษียณจากงานประจำ คุณอยากจะทำอะไร เพราะคงไม่มีใครอยากจะนั่งกินนอนกิน(แถมมีคนป้อนให้กินอีกต่างหาก...อัมพฤต อัมพาต)อยู่บ้านเฉยๆ คุณอยากจะทำสิ่งที่ตัวเองชอบเพื่อตัวเอง หรือคุณอยากจะทำสิ่งที่ตัวเองเพื่อคนอื่น(สังคม) หรือจะแบ่งสัดส่วนหรือช่วงเวลาของชีวิตเพื่อทำสิ่งต่างๆอย่างไร เช่น ช่วงแรกทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เมื่อประสบความสำเร็จแล้วจะขยายผลไปสู่การช่วยเหลือคนอื่นในสังคม
หาประสบการณ์โดยผ่านการพูดคุยกับ “อดีตมนุษย์เงินเดือน”ไว้บ้าง? เมื่อตัดสินใจอย่างแน่นอนแล้วว่าจะเกษียณอายุจากงานประจำเมื่อไหร่ ในระหว่างที่ยังทำงานประจำอยู่ควรลดเวลาคุยกับคนทำงานประจำให้น้อยลง และควรหาโอกาสและแบ่งเวลาไปคุยกับคนที่เกษียณอายุจากงานประจำไปแล้วให้มากขึ้น เพราะเท่ากับเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตคนอื่นแบบเรียนลัด ถึงแม้ชีวิตเรากับเขาจะแตกต่างกัน แต่ผมเชื่อว่าแนวคิดและหลักใหญ่ๆในการดำเนินชีวิตหลังเกษียณน่าจะใกล้เคียงกันหรือพอนำมาประยุกต์ใช้กันได้บ้าง
งานอิสระคือบันไดคั่นระหว่างงานประจำกับคนเกษียณอายุจากการทำงาน คนรุ่นใหม่หลายคนกำหนดบันไดให้ชีวิตหลังวัยเรียนอยู่ 3 ขั้นคือ บันไดขั้นแรกคือการทำงานประจำเพื่อสะสมทรัพย์และประสบการณ์รวมถึงเป็นช่วงเวลาในการค้นหาตัวเอง บันไดขั้นที่สองมักจะเป็นการออกจากงานประจำไปทำอาชีพอิสระเพราะยังมีไฟอยู่และอยากจะทำในสิ่งที่อยากทำแต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสทำตอนที่ทำงานประจำ และบันไดขั้นสุดท้ายคือการเกษียณอายุจริงๆเป็นช่วงที่มีทรัพย์มากพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ไปตลอดชีวิตและไม่คิดจะหาทรัพย์อะไรเพิ่มเติมแล้ว คิดอยากจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ เป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุนในชีวิตที่ผ่านมา
ต้องวางแผนชีวิตว่าถ้าเราเกษียณเร็ว แล้วเวลาที่เหลือในชีวิตเราจะไปทำอะไร? คนรุ่นเก่าที่เกษียณอายุเมื่ออายุห้าสิบหกสิบคงไม่ต้องคิดวางแผนชีวิตอะไรให้มากมายเพราะชีวิตช่วงที่เหลือมักจะน้อยกว่าชีวิตช่วงที่ผ่านมา แต่...พอมาถึงคนรุ่นใหม่ที่มักจะวางแผนเกษียณด้วยวัยที่ยังไม่มากนัก จะต้องวางแผนการใช้ชีวิตหลังเกษียณให้ดี เพราะช่วงชีวิตหลังเกษียณอาจจะยาวกว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมา พูดง่ายๆว่าคนรุ่นใหม่ต้องใช้เวลาหลังเกษียณนานกว่าคนรุ่นเก่า จึงต้องวางแผนให้ดี
ฝึกซ้อมการใช้ชีวิตหลังเกษียณไว้บ้าง ก่อนที่จะเกษียณตัวเองออกจากการทำงานประจำ ควรจะซ้อมเกษียณไว้บ้าง เช่น ลาพักร้อนเพื่ออยู่บ้านและลองคิดว่าถ้าวันนี้เราเกษียณจากงานประจำแล้ว เราจะอยู่ได้หรือไม่ เพราะเพื่อนๆวัยเดียวกันยังทำงานอยู่ เราจะทำอะไร โดยใช้ช่วงเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่วันลองสมมติตัวเองว่าเป็นเวลาแห่งการเกษียณจากการเป็นลูกจ้าง เพื่อทดสอบว่าสภาพจิตใจของเราพร้อมแล้วหรือยัง ถือเป็นการชิมลางของชีวิตหลังการเป็นลูกจ้าง ถ้าชิมแล้วยังรู้สึกไม่ชอบ ก็ยังพอที่จะเปลี่ยนใจเปลี่ยนแผนได้ แต่ถ้าชอบอาจจะต้องลองชิมบ่อยๆ เพื่อให้มั่นใจว่าชอบจริงๆ ไม่ใช่แค่อยาก
สรุป คนรุ่นใหม่ต้องเปลี่ยนทัศนคติในการมองคำว่า “เกษียณ” ในเชิงลบมาเป็น “โอกาส” และต้องตั้งเป้าหมายว่าตัวเองควรจะเกษียณออกจากงานประจำเมื่อไหร่ เพื่อจะได้มีเวลาใช้ชีวิตหลังเกษียณไปทำสิ่งที่ตัวเองรักตัวเองชอบ และจะได้มีโอกาสสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและโลกนี้ได้มากขึ้น มากกว่าการมีสังกัดและทำงานที่ได้ใช้ความรู้ความสามารถในขอบเขตที่จำกัด ผมเชื่อว่าถ้าคนรุ่นใหม่อยากจะเกษียณอายุตัวเองจากงานประจำเร็วขึ้น น่าจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย นายจ้างก็จะได้คนทำงานที่มีไฟ ถึงแม้เขาจะอยู่กับองค์กรไม่นาน แต่ก็น่าจะสามารถสร้างผลงานให้กับองค์กรได้มากขึ้น เพราะการที่คนรุ่นใหม่จะเก็บเงินได้มากเพียงพอต่อการเกษียณตัวเองจากการเป็นลูกจ้างมีทางเดียวคือต้องประสบความสำเร็จในอาชีพลูกจ้างให้เร็วขึ้น ซึ่งก็หมายถึงประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับ สำหรับคนทำงานเองก็จะได้ใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่าสมราคาของการเกิดมาเป็นคนได้มากยิ่งขึ้น และสุดท้ายสังคมหรือโลกของเราก็จะมีผลงานแห่งชีวิตของคนเพิ่มมากขึ้น