Pa Mania General (เรื่องทั่วไปปามาเนีย) > Health & Fitness
ปั่นได้ไกล ไปด้วยกัน
ตูมตาม:
สวัสดีพี่ๆชาวปามาเนียทุกคนครับ วันนี้มีเรื่องราวของสายปั่นมาเล่าให้ฟัง
พี่ๆคงทราบกันอยู่แล้วว่าบ้านปามาเนียเรามีสมาชิกรวมตัวกันปั่นจักรยานที่เรียกว่า "สายปั่น" สายนี้เริ่มยังงัยผมไม่แน่ใจในรายละเอียด คิดว่าพี่ปรีน่าจะเป็นผู้เริ่มต้นชวนพี่ๆหลายๆคนไปปั่นที่ "สนามเขียว" ที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น "Sky Lane" และจะเปิดให้บริการในเดือนหน้าหลังจากปิดปรับปรุงมา 4 เดือน
ส่วนตัวผมนั้นเริ่มมีจักรยานคันแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซื้อมากะไว้ปั่นออกกำลังกาย และปั่นไปซื้อของใกล้ๆแถวบ้าง เป็นเสือภูเขา ซื้อจากร้านทั่วๆไป ตอนนั้นไม่มีความรู้ว่าต้องเลือกยังงัย size ไหนถึงจะเหมาะกับเรา ก็ซื้อๆไปดูคันที่ชอบ สีสวย แค่นั้น หลังจากซื้อมาลองเอาไปปั่นแล้วรู้สึกทรมานมาก ปวดตูด เมื่อยหลัง ปวดแขน ปวดข้อมือ ปวดเข่า ปั่นได้พักเดียวก็เลิกปั่น หันไปหากีฬาชนิดอื่น เตะบอล ตีแบต
หลังจากห่างหายจากการปั่นไปหลายปี แต่เพราะตีแบตและวิ่งมาราทอน ทำให้บาดเจ็บหนักที่เข่า เป็นอาการเรื้อรัง ไม่หายซักที หลังจากปรึกษาหมอแล้ว หมอแนะนำว่า แบตกับบอลนี่ต้องเลิก ถ้าไม่อยากใช้ไม้เท้าไปตลอดชีวิต หมอแนะนำให้ปั่นจักรยานหรือว่ายน้ำแทน ผมก็เลยหันกลับมาปั่นจักรยานอีกครั้ง ครั้งนี้ซื้อเสือภูเขายี่ห้อ Trek ก่อนซื้อพยายามศึกษาจากทั้งการคุยกับร้านต่างๆ และอ่านทางอินเตอร์เน็ต จนรู้ว่าจักรยานที่เหมาะกับผมต้องเป็นขนาดไหน เลยลงทุนถอยเสือภูเขามา 1 ลำ พยายามปั่นแต่ก็ปั่นได้ไม่นานก็เบื่อแล้วก็เลิก ทีนี้ไม่ได้ออกกำลังกายเลย ทำงานอย่างเดียว ว่างก็นั่งๆนอนๆ มีไปเตะบอลบ้างก็เล่นไม่ไหว ถอยจากตำแหน่งมิดฟิลด์ ลงมาเล่นกองหลังก็ยังไม่ไหว เจ็บเข่า สุดท้ายไปเล่นเป็นผู้รักษาประตู ยิ่งเล่นยิ่งอ้วน เพราะไม่ค่อยได้วิ่ง ไม่ได้ออกกำลัง
ช่วงที่หยุดออกกำลังกายไป น้ำหนักพุ่งจาก 95 ไปถึง 115 อ้วนมากที่สุดในชีวิต สุขภาพเริ่มไม่ค่อยดี ด้วยอายุเริ่มเข้าเลข 4 แล้ว ปวดหัวไมเกรนบ่อยมาก จะลุกจะนั่งก็ลำบากเพราะน้ำหนักมาก เป็นหวัดบ่อย จนมานึกถึงพี่จ่า ผู้เป็น idol ของผมเลย พี่จ่าอายุมากกว่าผมเยอะ แต่ร่างกายยังแข็งแรงมาก ไม่ค่อยป่วย ผมเคยแวะไปนั่งคุยกับพี่จ่าที่บ้าน พี่จ่าเล่าให้ฟังถึงประโยชน์ของการปั่นจักรยาน เลยคิดว่าจะกลับมาปั่นจักรยานอีกครั้ง ประกอบกับช่วงนั้นพี่ปรีเริ่มตั้ง "สายปั่น" ขึ้นมาพอดี โดยมีสมาชิกแรกๆตอนนั้นเท่าที่จำได้มี พี่จ่า พี่นะ พี่บังมะ พี่ติงลี่ พี่ต๋อง พี่ๆเขาจะซ้อมกันที่สนามเขียว เลยได้ชื่อเล่นเรียกว่า "สายเขียว"
ตูมตาม:
หลังจากตั้งใจแน่วแน่ว่าจะปั่น ก็เลยไปเอาเจ้าเสือภูเขา Trek ลำเดิมมาปัดฝุ่นปั่น โดยปั่นอยู่แถวๆบ้าน ยังไม่กล้าไปปั่นกับพี่ๆ สายเขียว กะว่าจะซ้อมให้พอปั่นได้ดีหน่อยค่อยไปปั่นกับพี่ๆสายเขียว แต่เมื่อปั่นไปซักพักก็เจอปัญหาเดิม คืออาการเจ็บแขน เจ็บเข่า เหนื่อย เบื่อ เพราะปั่นอยู่คนเดียว
เลยกลับไปศึกษาข้อมูลจนแน่ใจว่า size ของเสือภูเขาลำนี้ก็ยังอาจจะไม่เหมาะกับผม ทำให้มีอาการเจ็บต่างๆ เลยตัดสินใจซื้อใหม่ แต่คราวนี้ตัดสินใจเลือกเสือหมอบ ตอนที่ซื้อเสือหมอบนี่น้ำหนักผม 115 กก. อ้วนมาก ยังคิดไม่ออกว่าจะก้มไหวหรือเปล่า เพราะติดพุงมาก ก้มเมื่อไหร่หายใจไม่ออกเลย แต่ก็อยากลองเลยไปหาจับเสือหมอบมือสองมา 1 ลำ เอามาปรับโน่นปรับนี่จนเข้ากับสรีระของเราละ ก็เริ่มปั่น ปั่นอยู่แถวๆบ้านนี่แหละครับ แถวบ้านพอดีมีถนนที่เพิ่งสร้างเสร็จ ระยะปั่นรอบนึงประมาณ 8 กม. ผมก็ปั่นไปครับ ปั่นอยู่คนเดียว จำได้ว่าช่วงนั้นปั่นได้ 8 กม. ก็ต้องจอดพัก เบื่อด้วยเหนื่อยด้วย ไม่มีใครคุยด้วย ยิ่งปั่นยิ่งท้อ แต่ก็พยายามปั่นไป จากได้ทีละรอบ เพิ่มเป็น 2 รอบ เพิ่มเป็น 3 รอบ
ปั่นได้ซักพักเดียวก็มีเพื่อนๆเข้ามาสมทบ พี่ๆที่อยู่ฝั่งตะวันตกมาร่วมปั่นด้วย ทั้งพี่กิตติ พี่ต้น พี่น้องเอก พี่ต๋อง และมีเพื่อนผมอีก 2 คน จะรวมกันเป็นกลุ่มนัดซ้อมกันเย็นๆวันธรรมดาบ้าง เช้าวันเสาร์อาทิตย์บ้าง จนเป็นที่มาของอีกกลุ่มนึงชื่อ "สายไข่ลวก" เพราะตำแหน่งที่นัดเจอเวลาซ้อมมีร้านขายไข่ลวกตรงพุทธมณฑลสาย 1 พี่นะเลยตั้งชื่อให้ว่า "สายไข่ลวก"
เมื่อมีเพื่อนก็เริ่มปั่นสนุกขึ้น มีความพยายามมากขึ้น ศึกษาข้อมูลมากขึ้น แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อมูล ทดลอง ทดสอบกันไปเป็นที่สนุกสนาน และที่เพลิดเพลินที่สุดคือชวนกันกระเป๋าแหก แต่งจักรยาน ขอข้ามเรื่องราวกระเป๋าแหกกับยานไปละกัน ไม่อยากนึก และไม่อยากนับว่าจ่ายไปแล้วเท่าไหร่
:sd42: :sd42: :sd42:
ตูมตาม:
หลังจากนั้น PaMania Bike ก็เป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น มีสมาชิกเข้ามามากขึ้น ทั้งพี่ๆที่อยู่ในบ้านปามาเนียนี้ และมีเพื่อนๆที่ไม่ได้ใช้น้องปาเข้ามาร่วมด้วย หลังจากซ้อมกันไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมีการออกไปปั่นตามงานปั่นที่จัดขึ้นต่างๆ ช่วงนี้เป็นช่วงบ้าพลัง เวลาปั่นนี่จะเอาเร็วแรงอย่างเดียว ใครปั่นเร็วคือเทพ ต่างคนต่างพยายามจะเร็วขึ้นและเร็วขึ้น เวลาไปปั่นตามงานก็เหมือนต่างคนต่างปั่น ใครเร็วแรงก็ไปก่อน ใครอ่อนกว่าก็กวดตามมา บางครั้งปั่นงานเดียวกัน ขบวนขาด หัวขบวนห่างจากหางขบวนเป็นชั่วโมง หัวขบวนเข้าเส้นชัย นั่งกินข้าวจนอิ่มจะกลับบ้าน ท้ายขบวนเพิ่งเข้าเส้น บางคนปั่นไม่ไหวตะคริวขึ้น หางขบวนตามมาเจอก็ช่วยเหลือ จับขึ้นรถ service ไป เรื่องการวางแผนปั่นไม่เคยมีในหัว ขึ้นยานได้ก็อัดก็ใส่กันเต็มเหนี่ยว ผมเองก็เคยถูกทิ้งเพราะปั่นตามไม่ทัน กลับมาซ้อมจนกลับกลายเป็นคนทิ้งคนอื่น
ปั่นแบบนี้อยู่หลายงาน จนพวกเรากลับมานั่งคุยกันว่า มันไม่น่าจะใช่ละ ในเมื่อเราเป็นทีมเดียวกัน เราก็ควรจะไปด้วยกัน ไม่ทิ้งกันถึงจะถูก ในกลุ่มอาจมีคนที่แรงกว่า คนที่อ่อนกว่า แต่ก็น่าจะไปด้วยกันได้ ไม่ใช่ต่างคนต่างไป เพราะถ้าต่างคนต่างไป ก็ไม่ต้องมารวมกันเป็นกลุ่ม มันไม่มีประโยชน์อะไร นี่จึงเป็นที่มาของ concept ของสายปั่นว่า "ปั่นได้ไกล ไปด้วยกัน"
ตูมตาม:
เราพยายามปรับการปั่นให้ทุกคนสามารถมาด้วยกันได้หมด ไม่ว่าจะแรงหรืออ่อน มีการวางแผนการปั่น วางแผนการพัก โดยมีจุดมุ่งหมายว่า ปั่นไปด้วยกัน เริ่มด้วยกัน จบพร้อมกัน ไม่ทิ้งใครไว้กลางทาง จากเดิมๆที่ปั่นงานที่ระยะทางยาวประมาณ 60-70 กม ปั่นกันเอาเป็นเอาตาย แทบจะแข่งกันเอง แรงไปก่อน อ่อนตามมา เราก็มีการพูดคุยปรับการปั่นกัน ซ้อมการปั่นทีมกัน จนในที่สุดงานล่าสุดถือเป็นการทดสอบทีม "สายปั่น" PaMania Bike ว่าเราจะเป็นทีมหรือไม่
งานล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา ทีมปามาเนียร่วมปั่นงาน Audax200 ระยะทาง 200 กม. เส้นทางที่ใช้ปั่นคือจากวัดลาดปลาดุก นนทบุรี ปั่นไปตลาดน้ำลำพญา นครชัยศรี ปั่นยาวไป อ.สองพี่น้อง สุพรรณบุรี แล้ววนกลับทางตลาดบางหลวง นครปฐม แล้วตัดกลับมาที่วัดลาดปลาดุกที่เดิม รวมระยะทาง 200 กม. ผ่าน 3 จังหวัด พี่ๆหลายๆคนที่ร่วมทีมในวันนั้นไม่เคยปั่นระยะทาง 200 กม. ในวันเดียวมาก่อนเลย เราร่วมมือกันตั้งแต่การซ้อม ทุกคนพยายามซ้อมให้ดีที่สุดเท่าที่เวลาจะมีให้แต่ละคนซึ่งไม่เท่ากัน จนมาถึงวันปั่น มีการวางแผนการปั่น กำหนดตำแหน่งการปั่นในทีม กำหนดจุดพักที่แน่นอน รวมถึงการเตรียมอุปกรณ์และเสบียง
การปั่นมีการปรับ จากเมื่อก่อนเราจะให้คนที่แรงสุดนำ ปัญหาก็จะเกิดเพราะคนที่แรงก็นำไป คนที่อ่อนกว่าก็กวดตาม สุดท้ายแรงหมด โดนทิ้ง เราเลยปรับคนที่นำฝูงเปลี่ยนมาให้คนที่มีแรงกลางๆ สามารถปั่นได้ที่ความเร็วนิ่งๆเป็นคนนำ คนที่อ่อนกว่าให้อยู่กลางขบวน และให้ขาแรงทั้งหลายคัดอยู่ท้ายขบวน เผื่อถ้ากลางขบวนขาดตามหัวลากไม่ไหว ขาแรงสามารถเร่ง speed ขึ้นไปบอกหัวลากให้เบาลงได้
นอกจากนั้นมีการกำหนดระยะการพักเกิดขึ้น จากเมื่อก่อนต่างๆคนต่างพัก คนที่แรงเยอะสามารถปั่นรวดเดียวได้ 50-60กม แต่คนที่อ่อนกว่าไปไม่ถึง ต้องพักก่อน ก็ถูกทิ้ง เราเลยปรับมากำหนดระยะพักที่แน่นอนว่าจะต้องพักที่ระยะไหน โดยคำนึงถึงความทนทานของคนที่อ่อนกว่าด้วย ส่วนใหญ่เราจะกำหนดระยะพักที่ 25-30 กม ซึ่งเป็นระยะที่ทุกคนซ้อมกันมา สามารถไปถึงระยะนี้ได้ทุกคน
ตูมตาม:
และในงาน Audax 200 มีพี่ๆมาร่วมกันทั้งหมด 11 ลำ กำหนดหัวลากนำฝูงประกอบด้วย น้าตี๋ (รุ่นน้องพี่ติงลี่) พี่ปรี เป็นหัวลากหลัก มีผมเป็นหัวลากสำรอง หลังจากนั้นเป็นพี่ๆที่อ่อนซ้อมหน่อย ประกอบด้วยพี่กิตติ พี่ต๋อง พี่ม่อน พี่หนู และคัดท้ายขบวนด้วยขาแรงทั้งหลาย พี่สจ๊วต พี่บังมะ พี่ตุ้ยเทพบุรี พี่มานพ (เพื่อนผม) เรากำหนดระยะพักที่ 30 กม.
ครั้งนี้เราปั่นกัน 200 กม. ปั่นไปพร้อมกันเป็นทีม ไปพร้อมกัน ไปด้วยกัน และในที่สุดหลังจากปั่นไปร่วม 11 ชั่วโมง (รวมเวลาพัก) ทีม PaMania Bike เราเข้าเส้นชัยพร้อมกันทุกคน ไม่มีใครถูกทิ้งไว้กลางทาง ตาม Concept ที่เราตั้งไว้ คือ "ปั่นได้ไกล ไปด้วยกัน"
เราเริ่มพร้อมกัน 11 ลำ
ปั่นเป็นทีมอย่างสวยงาม
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version