ผู้เขียน หัวข้อ: โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนทุน(AFS)ตอบหน่อยนะคะ  (อ่าน 9711 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ กิต <Black Angel>

  • Founder Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 8,947
  • Like: 175
  • เพศ: ชาย
  • There is a will, there is a way!
Re: โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนทุน(AFS)ตอบหน่อยนะคะ
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: 6 กรกฎาคม 2015, 12:41:37 »
ขอแชร์ข้อมูลให้พี่พีรานะครับ ส่วนตัวไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับทุน afs โดยตรงนะครับ มีแต่ทุนอื่นที่ได้เอง และทำเกี่ยวเรื่องทุนให้เด็กๆนะครับ ขอพูดแบบง่ายๆนะครับ ส่วนลึกๆถ้าเพิ่มเติมพี่พีราแชร์มาอีกทีนะครับ จะพยายามช่วยหาคำตอบให้ครับ

อ้างจาก: พีรา-peera ที่  4 กรกฎาคม 2015, 22:34:28
      พี่พีรา ขอถามนอกเรื่องหน่อยนะคะ ไม่เกี่ยวกับรถ แต่เป็นโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนเผื่อจะมีพี่ๆในนี้เป็นนักเรียนทุน AFS มาก่อน หรือเป็นครูก็ได้ค่ะที่พอจะรู้.     พี่พีราเด็กบ้านนอกไม่ค่อยรู้เรื่องจะเก็บไว้เป็นข้อมูลหาในกูเกิ้ลมันไม่ละเอียดแล้วก็มันไม่ตรงประเด็นที่อยากรู้  ถามเลยนะคะ
1. ทำไม AFS ถ้าเป็นโซนยุโรปต้องคำนวณดัชนีมวลกายBMI เกือบทั้งหมดเลยถ้าไม่ถึงเกณฑ์ผอมไปไม่เอา อย่างญี่ปุ่นก็ไม่เอาตัวใหญ่เอาตัวเล็กๆคือข้อปลีกย่อยมันเยอะแยะไปหมดพออ่านเจอ พี่พีราเลยมึน

การคำนวณดัชนีมวลกาย หรือ Body mass index (BMI) เป็นค่าดัชนีที่คำนวณจากน้ำหนักและส่วนสูง ก็เหมือนการตรวจสุขภาพในเบื้องต้นครับ ซึ่งค่ามาตราฐานดัชนีมวลกายของ ชาวยุโรปกับชาวเอเชียก็จะแตกต่างกันอีกครับ(ในที่นี้เข้าใจว่าพี่พีราถืออยู่ในมือแล้ว ลองคำนวณดูครับ) ฝั่งยุโรปอาจจะมีค่าที่สูงกว่าเอเชีย คือถ้าเอาเทียบกับค่ามาตราฐานเอเชีย ลูกเราอาจจะเลยเกณฑ์นิดหน่อย ถือว่าอ้วน แต่ถ้าเอาค่ายุโรปมาใช้ ลูกเราจะพอดีเกณฑ์ได้ครับ เพราะอะไร เพราะทางฝั่งยุโรปเป็นประเทศเมืองหนาวต้องการชั้นไขมันและความสมบูรณ์ของร่างกายในการใช้ชีวิตนะครับ ดังนั้นค่ามาตราฐานของเอเชียเลยต่ำกว่าครับ เป็นที่มาของเด็กที่จะไปฝั่งยุโรปต้องเรียกน้ำหนักเพิ่มครับ

ปล. เรื่องข้อกำหนดด้านสุขภาพของแต่ละประเทศ ของแต่ละทุนก็จะมีส่วนที่กำหนดขึ้นมาแตกต่างกันนะครับ เช่น บางประเทศมีกำหนดเรื่องไวรัสตับอักเสบบี เป็นต้นนะครับ

ลิงค์ครับ http://health.kapook.com/view86346.html
       ก่อนอื่นพี่พีรา ต้องขอขอบคุณอาจารย์พี่นุกอุตส่าห์หาข้อมูลมาอธิบายและให้รายละเอียด :sd23:  :sd23:  :sd23: คือที่สงสัยและข้องใจเพราะลูกสาวน้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์ตามค่าที่กำหนด พูดง่ายๆน้ำหนักน้อยไปเลือกโซนยุโรปไม่ได้เลย แต่ก็ยังเลือกนะคะเผื่อว่าติดจะได้พยายามเพิ่มน้ำหนักให้ทันเกณฑ์. แต่ก็ไม่ผ่านค่ะ  ซึ่งตอนผ่านข้อเขียนแล้วเลือกประเทศแต่ละประเทศข้อปลีกย่อยมันยุบยิบจุกจิกเยอะมาก. ไม่เอาคนมีรอยสักบ้าง ไม่เอาคนสูบบุหรี่ ไม่เอาคนตัวใหญ่ บลาๆเยอะมาก ยกตัวอย่าง อเมริกาถ้าเลือกคุณจะต้องพูดอังฤกษโต้ตอบกับคุณครูได้แบบคล่อง ต้องผ่านข้อเขียนก่อนนะคะถึงจะเห็นหัวข้อนี้ แล้วตอนนั้นที่อ่านดูเสริชดูมันไม่มีคำตอบให้เลยเป็นที่มาของการต้ังกระทู้ถาม ถามลูกเค้าก็บอกไม่รู้ จะให้โทรถามโครงการก็ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าได้รึป่าว ลูกสาวได้ประเทศจีนค่ะประเทศลำดับที่2 ที่เลือกซึ่งมันกว้างใหญ่ไพศาลมาก ยังไม่ได้ตัดสินใจค่ะอาจจะสละสิทธิ์. ที่ถามก็เป็นเหตุผลส่วนนึงที่ใช้ในการตัดสินใจ
2. บางโรงเรียนเทียบเกรดได้บางโรงเรียนเทียบไม่ได้กลับมาต้องซ้ำชั้นรึถ้าไม่อยากซ้ำต้องเปลี่ยนสายการเรียน...เอาอะไรวัดมาตฐานของแต่ละโรงเรียน...คือสงสัยมาก
       
ตรงนี้ต้องดูการรับรองมาตราฐานการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการหรือไม่ก็ สพฐ นะครับ ว่าอยู่ในลิสต์รายชื่อโรงเรียนที่ผ่านเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาหรือ สพฐ มั้ยนะครับ น่าจะคล้ายในระบบมหาวิทยาลัย แต่ผมเข้าใจว่าโรงเรียนจากทั่วโลกมันเยอะกว่ามหาวิทยาลัยอยู่มากโข กระทรวงศึกษาอาจจะยังรับรองได้ไม่หมด ทางที่ดีผมแนะนำให้ติดต่อกระทรวงศึกษาอีกทีครับ แล้วพี่พีราก็บอกลูกๆให้เก็บใบเกรดและใบรับรองเป็นภาษาอังกฤษกลับมาด้วยครับ อ๋อ ขอประวัติโรงเรียน ที่อยู่ที่ติดต่อให้ ผอโรงเรียนหรือผู้เกี่ยวข้องเซ็นต์ออกมาให้ด้วยก็ดีครับ เผื่อเอาไว้ขอเทียบได้ครับ
         
                  ข้อนี้ให้ลูกไปถามโรงเรียนมาลูกสาวบอกสายวิทย์ต้องซ้ำค่ะ ถ้าสายศิลป์ไม่ต้องซ้ำ ไม่งั้นไปแล้วกลับมาไม่อยากซ้ำต้องเปลี่ยนสาย แต่พี่พีราเห็นในเวปไซต์ถ้าเป็นนานาชาติ ที่มีสาขาเยอะในกทม.ไม่ต้องซ้ำ นี่แหละคือปัณหาค่ะลูกสาวไม่อยากซ้ำแต่อยากไป ต้องเลือก ถ้ากลับมาได้ภาษาแต่ความรู้ที่จะเอ็นท์  ไม่แน่น แล้วก็ไม่อยากเป็นเด็กซิ่ว. ต้ังใจจะไปสายหมอ

3.แต่ละโรงเรียนทำไมได้ประเทศไม่เท่ากันบางโรงเรียนได้หลายประเทศบางโรงเรียนได้แค่3ประเทศ....ขอบคุณล่วงหน้านะคะ

ข้อนี้ผมไม่ทราบข้อมูลที่แน่นอนครับ พี่พีราติดต่อทางโรงเรียนน่าจะได้ข้อมูลที่แท้จริงมากกว่านะครับ เบื้องต้นขอเดาไว้ก่อนว่าน่าจะเกี่ยว กับความร่วมมือ MOU กับทีไหนสักที หรือไม่ก็เกี่ยวกับที่โรงเรียนที่ลูกๆพี่พีราสังกัด เขารับรองให้ไป3ประเทศนี้เท่านั้นหรือเปล่าครับ
              โรงเรียนลูกมี16 ประเทศให้เลือกค่ะแต่ไม่มีแคนาดากับออสเตเลียประเทศที่อยากไป อีกโรงเรียนได้42ประเทศ อีกที่3ประเทศ คุณแม่เลยงงๆ เอาอะไรวัดนี่  :sd06:       

ขอบคุณพี่นุกมากค่ะพี่พีราใช้ประกอบการตัดสินใจ ทั้งหมดนี้ที่ต้ังคำถามเพราะยังไม่ได้เจอกับผู้ประสานงานโครงการนี้นะคะ คาดว่าจะเจอคงเสาร์นี้
Sent from my iPad using Tapatalk
.     :D  :D นึกว่าลบไปแล้วไม่ได้เข้ามาเช็ค.... :L2758:

สมชปามาเนียส่วนใหญ่เป็นพ่อแม่คนแล้วทั้งนั้น กระทู้มีประโยชน์เกี่ยวกับลูก โดยเฉพาะเกี่ยวกับสุขภาพและการศึกษาจะให้ลบได้ไงครับ ต้องขอขอบคุณพี่พีราที่ช่วยตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาครับ  :L2758:

ออฟไลน์ นุก (ปทุมธานี)

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 2,729
  • Like: 124
  • เพศ: ชาย
Re: โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนทุน(AFS)ตอบหน่อยนะคะ
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: 6 กรกฎาคม 2015, 13:33:13 »
ชอบมากเลยครับ พี่นุก เด็กๆเดี๋ยวนี้จบ ป.ตรี ขอต่อโทเลยบางคนอยากไปต่อนอกกับเพื่อน กลัวไม่ทันเพื่อน คิดแต่จะใช้เงินครับ อยากให้น้องๆลูกหลานคิดเป็นครับ เงินแต่ละบาทนั้นกว่าจะหามาได้ยากเย็นจริงๆ เรียนก็ไม่ตั้งใจเรียน น่าเสียดายจริงๆครับ

ตามเพื่อนนี่ล่ะครับ ปวดหัวที่สุดเลยครับพี่ดุ่ย บางทีมีตามแฟนด้วย บางครั้งตัดอนาคตกันด้วยเรื่องแบบนี้ล้วนๆ เสียดายอนาคตครับพี่ ทำงานพบผู้คนหลากหลายขึ้น สะสมประสบการณ์ตกผลึกทุกอย่างแล้วค่อยไปเรียนได้อะไรใหม่ๆเยอะเลยครับพี่  :L2904:

ออฟไลน์ พี่นะ [Na ratchada]

  • Founder Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 14,896
  • Like: 435
  • นิยามของคำว่าพักผ่อน "กระเป๋าแหก"
Re: โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนทุน(AFS)ตอบหน่อยนะคะ
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: 6 กรกฎาคม 2015, 14:51:43 »
ไหนๆก็แชร์ลงบอร์ดแล้วอารมณ์ค้างครับขออีกนิดครับ ฮ่าๆ

*ตอนสัมภาษณ์เข้ามหาลัยเหมือนกันครับ ผมจะชอบพูดคุยกับเด็กที่มี portfolio เยอะๆพวกที่มีกิจกรรมด้วย เรียนเด่น เด็กทีทำกิจกรรมมาจะเข้าสังคมได้ดีกว่า ชีวิตมหาลัยมีความสุขเพื่อนเยอะ กล้าคิดกล้าทำ และมักเข้าสู่ชีวิตการทำงานได้ดีกว่าเด็กที่เรียนๆๆแล้วก็เรียนๆๆครับ
**นี่ยังไม่รวมพวกที่เร่งจบอีก จบป.ตรี 20 ป.โท22 ป.เอก25 แล้วปล้วผู้ปกครองอย่างเราๆก็ชื่นชมกันว่าเก่งอย่างโน่นเก่งอย่างนี้เรียนไว ด้วยที่ไม่ได้ดูเนื้องานตอนจบเลยครับว่าได้สร้างอะไรใหม่ๆไว้ให้โลกวิชาการบ้าง สู่สั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆทำงานสักระยะแล้วไปเรียนโท ทำงานสักปีสองปีไปเรียนเอกดีกว่าแบบนี้เห็นสังคมเห็นองค์ความรู้ที่จะเอาไปสร้างผลงานได้ดีกว่าครับ
*** learning experiences เป็นสิ่งสำคัญครับ

 :sd23: :sd23: :sd23:

ขอบคุณครับพี่นุก  สมกับที่เป็นอาจาร์ยมหาวิทยาลัยดัง    ปัญหานี้ตอนนี้กำลังมีมากกับองค์กรในการรับสมัครพนักงานใหม่และถ่ายเลือดพนักงานเก่า อาวุโส  เพื่อความกระตือรือต้นของพนักงานและเพื่อควบคุมต้นทุนในการดำเนินการ   รวมถึงเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ความรวดเรวในการดำเนินธุรกิจจากคนรุ่นใหม่ๆที่ไฟแรงๆ

ปัญหาคือคนสมัยนี้  จบมาวุฒิสูงพอสมควรเรืองผลตอบแทนทางรายได้มีเกณฑ์การคำนวณพื้นฐานมาเป็นอย่างดีขนาดคำนวณมาแล้วนี้ตัวเลขเฉลี่ยนไม่ต่ำนะ   เนื้องานและประสบการณ์ไม่ต้องพูดถึงเพราะเรียนมาเพื่อจบอย่างเดียว    ประสบการณ์การต่อสู้ในสังเวียนลูกจ้างน้อยมากแต่คุณวุฒิเข้าขั้นระดับหัวหน้างานหรือบริหาร  จึงเป็นเรื่องยากที่องค์กรจะพิจารณาในบางครั้ง

เมื่อรับเข้ามาร่วมงานแล้วมักจะมีผลกระทบทันทีกับพนักงานเก่าๆ วิธีทางออกขององค์กรคือการสร้างตำแหน่งหน้าที่การงานแบบต่างตอบแทนกึ่งพนักงานขายให้สร้างรายได้สู่องค์กรจึงเหมาะกับงานลักษณะนี้และตั้งเป็นทีมย่อยในการสร้างรายได้จากกิจกรรม   ธุรกิจแนวนี้จะชอบรับเด็กแบบนี้   แต่หากเป็นธุรกิจแรงงานหรือโรงงานนั้นจะเป็นพวกตลาดแรงงาน    ถึงแม้บางคนมาด้วยวุฒิขั้นต่ำ ป.ตรีแต่ยอมทำงานแบบสายแรงงานไม่นานนักเมื่อมีโอกาสองค์กรมีความเสี่ยงในต่ำแหน่งงานนี้แน่นอน  ประเภทขอทำไปก่อนช่วงรอโอกาสใหม่

ทั้งหมดที่ว่ามานี้เรามีแนวทางแก้ไขกันอย่างไร......ลองพิจารณาแนะนำแนวทางและวางแผนกับคนใกล้ตัวเรากันดีกว่า   

 :L2734:

Note : ขออภัยพี่พีราที่อาจจะไม่ตรงประเด็นคำถาม  พอดีอ่านของพี่นุกแล้วเพ้อเลย......
ขอต้อนรับสมาชิกใหม่ทุกท่าน เรียนรู้ปามาเนีย โปรดอ่านที่linkด้านล่าง
http://www.pajerosportmania.com/forum/index.php/topic,1688.0.html

ออฟไลน์ พี่นะ [Na ratchada]

  • Founder Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 14,896
  • Like: 435
  • นิยามของคำว่าพักผ่อน "กระเป๋าแหก"
Re: โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนทุน(AFS)ตอบหน่อยนะคะ
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: 7 กรกฎาคม 2015, 06:45:53 »
ขอเพิ่มเติมเนื้อหา ในกระทู้พี่พีรานะครับ  ตอนนี้ คำนี้กำลังมาเลยกับคำว่า  " เด็ก GEN Y "

จึงขอแชร์ให้พวกเราทราบกันไว้ก่อน ว่าคืออะไร ?

 :L2758:

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอขอบคุณเครดิตเนื้อหา : ที่มาเนื้อหา โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

เรื่อง "เจนวาย" คำนี้มาจากวิชาประชากรศาสตร์ (Population) ซึ่งเป็นแขนงของวิชาสังคมวิทยา (Sociology) ที่อยู่ในสาขาของวิชาสังคมศาสตร์  เรื่องเจนวายนี้เริ่มมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาแต่มีลักษณะเป็นสากลทั่วโลก เพราะเจนวายนี้ถือเป็นกลุ่มคนที่โตมากับเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่มีอินเตอร์เน็ตแพร่หลายแล้วคือบรรดาคนที่เกิดระหว่าง พ.ศ.2523-2543

เรื่องอินเตอร์เน็ตนี่สำคัญมากนะเพราะคนรุ่นผู้เขียน (55-75 ปี) ส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตกันไม่ค่อยเป็นหรอก ดังนั้นตรงนี้สำคัญ ต้องจำเอาไว้ให้ดีเป็นหลักเลย พวกเจนวายนี้ได้เข้าสู่ตลาดแรงงานมาได้สักพักหนึ่งแล้วทางวิชาประชากรศาสตร์ เขาใช้เกณฑ์ช่วงอายุ (Generation) เป็นตัวกำหนดการแบ่งคนออกเป็นกลุ่มๆ เพราะคนต่างช่วงอายุกันนี่ความต้องการในชีวิตนี่ต่างกันมากนะ ดังนั้นบรรดาผู้ที่ทำงานในฝ่ายบุคคลก็จำเป็นต้องรู้ลักษณะทั่วไปของกลุ่มคน ที่ทำงานในองค์กรของตน และเหล่านักการตลาดทั้งหลายที่มีความจำเป็น ที่จะต้องกำหนดกลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายจึงต้องเอาความรู้ตรงนี้ไปใช้มาก ทีเดียว อาทิ การผลิตเสื้อผ้าออกมาขาย จะผลิตขนาดรูปร่างไหน สีอะไร สไตล์ยังไง นี่สำหรับคนหนุ่มสาว กับคนแก่นั้นมันคนละเรื่องกันเลยจะให้รู้เรื่องเจนวายจริงๆ ต้องศึกษาย้อนกลับไปถึงช่วงอายุ (Generation) อื่นๆ ด้วย

1.เจนบี (Baby Boom Generation-Generation B) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2489-2507 อายุ 45-63 ปี บรรดาคนพวกนี้เกิดมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ที่เรียกคนพวกนี้ว่าเจนบีเพราะว่าในระหว่างสงครามบรรดาผู้ชายต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ครั้นสงครามสงบลงก็เลยกลับมาแต่งงานแล้วรีบมีลูกกันยกใหญ่แบบว่าอั้นไว้นาน คน ที่เป็นเจนบีนี้เยอะมาก เรียกว่าบูม! คือเด็กเกิดกันแบบระเบิดเลยละ พ่อแม่ของคนพวกนี้ประสบความลำบากยากแค้นมาตลอดชีวิต จากวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลกเมื่อ พ.ศ.2472 ที่ส่งผลให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด (การเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2475 ก็มีผลโดยตรงจากวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำปี พ.ศ.2472 เหมือนกัน)

คนเจนบี เติบโตขึ้นมาด้วยการรับรู้ความยากลำบากของพ่อแม่ จึงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา อดทนให้ความสำคัญกับผลงานแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว มีความทุ่มเทกับการทำงานและองค์กรมาก ให้ความสำคัญของครอบครัวรองลงมาจากงาน

คนกลุ่มนี้จะไม่เปลี่ยนงานบ่อยเนื่องจากมีความจงรักภักดีกับองค์กรสูง

2.เจนเอ็กซ์ (Generation X) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2508-2522 อายุ 30-44 ปี คนกลุ่มนี้ก็คือลูกหลานของพวกเจนบีนั่นเองซึ่งช่วง พ.ศ.2508-2522 นี้เป็นช่วงของสันติภาพ ความมั่งคั่งขยายไปทั่วโลก และแนวความคิดคุมกำเนิดพร้อมทั้งยาคุมกำเนิดเกิดมีขึ้นมากมาย จำนวนการเกิดของเด็กช่วงนี้จึงลดลงมาก บางทีก็เรียกพวกนี้ว่า Baby Bust Generation (Bust นี่ตรงกันข้ามกับบูม)

บรรดาเด็กที่เกิดในช่วงนี้ เติบโตขึ้นมาได้เห็นการดำเนินชีวิตของพ่อแม่ ซึ่งเด็กพวกนี้ไม่เห็นด้วย ทำให้คนที่เติบโตมาในช่วงนี้มีลักษณะพฤติกรรมชอบอะไรง่ายๆ ไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work-life Balance)

พูดง่ายๆ คือไม่บ้างาน พยายามที่จะมีเวลากับครอบครัว มีแนวคิดและการทำงานในลักษณะรู้ทุกอย่างทำทุกอย่างได้เพียงลำพัง ไม่พึ่งพาใคร มีความคิดเปิดกว้าง พร้อมรับฟังข้อติติง เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง เรียกกลุ่มนี้อีกอย่างว่าพวกยัปปี้-Yuppie (Young Urban Professionals)

ว่ากันว่าบรรดาคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีบารัค โอบามา นั้นส่วนใหญ่เป็นคนเจนเอ็กซ์

3.เจนวาย (Generation Y) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2523-2543 อายุ 9-29 ปี เป็นกลุ่มคนที่โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์-อินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีไอที พวกนี้เป็นลูกของพวกเจนเอ็กซ์ ที่ได้ชื่อว่าเจนวายก็เนื่องจากเห็นพ่อแม่กับ ปู่ ย่า ตา ยายทะเลาะเถียงกันในค่านิยมที่แตกต่างกันและเมื่อทะเลาะกันมากเข้าเรื่องก็ มาลงที่เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร

พวกเจนวายนี้เริ่มจากการบ่นกันเองอย่างรำคาญที่ผู้ใหญ่ทะเลาะกันแล้วมาลงที่เด็ก (Why me?)

พวกเจนวายเป็นวัยที่จัดว่าเพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน มีลักษณะนิสัยชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่ในกรอบและไม่ชอบเงื่อนไข คนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทำงานว่า สิ่งที่ทำมีผลต่อตนเองและต่อหน่วยงานอย่างไร อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร และยังสามารถทำงานหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกันแบบว่าชอบส่งอีเมล์มากกว่าพูดกันต่อหน้า ทำนองว่าไม่ชอบทะเลาะว่ายังงั้นเถอะ ทำให้พวกผู้ใหญ่ไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก
ขอต้อนรับสมาชิกใหม่ทุกท่าน เรียนรู้ปามาเนีย โปรดอ่านที่linkด้านล่าง
http://www.pajerosportmania.com/forum/index.php/topic,1688.0.html