ผู้เขียน หัวข้อ: อาจอยู่ใน 1 ใน 17 เหตุผลที่ทำธุรกิจครั้งแรกแล้วเจ๊ง...!!! โดย คุณ healingoftarot  (อ่าน 12605 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ พี่โต้ง Tongsom

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 6,283
  • Like: 186
  • เพศ: ชาย
  • Never Say Never ไม่มีแผนเดียว ในการแก้ปัญหา
เครดิย จาก Kapook.com

การทำธุรกิจส่วนตัว เป็นความใฝ่ฝันของหลาย ๆ คน แต่บางครั้งเส้นทางสายธุรกิจกลับไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คาดฝัน เพราะกว่าจะผ่านไปถึงจุดที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ ก็อาจเจออุปสรรคจนทำให้ธุรกิจของคุณสะดุดจนถึงขั้นปิดกิจการได้ ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ธุรกิจครั้งแรกต้องล้มเหลวจะมีอะไรบ้าง คุณ healingoftarot สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มีข้อมูลดี ๆ มาอธิบายให้ฟังกันค่ะ

ผมได้มีโอกาสดูไพ่ให้ลูกค้าที่ทำธุรกิจครั้งแรก แล้วมีทั้งที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ หลังจากที่นั่งสังเกตวิธีคิด วิธีทำธุรกิจของลูกค้าที่ “เจ๊ง” ด้วยธุรกิจครั้งแรก มันทำให้ผมทราบว่าคนเหล่านี้มีบางอย่างที่เหมือนกัน สำหรับใครก็ตามที่กำลังอยากจะเริ่มต้นทำธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ยังไม่มั่นใจรวมถึงกลัวที่จะเริ่มต้น กลัวเจ๊ง คุณจะได้กำไรจากการเรียนรู้ความผิดพลาดของคนอื่นกับ 17 เหตุผลที่ทำธุรกิจครั้งแรกแล้วเจ๊ง...!!!

17 เหตุผลที่ทำธุรกิจครั้งแรกแล้วเจ๊ง อยากรู้ต้องอ่าน

1. ไม่มีที่ปรึกษาที่ดี  :L4386:

          การหาที่ปรึกษาที่ดีไม่ใช่การปรึกษาเพื่อนร่วมงานหรือมนุษย์เงินเดือนด้วยกัน ลูกค้าของผมส่วนใหญ่ที่เจ๊ง เพราะเลือกที่จะปรึกษาคนระดับเดียวกันที่ยังไม่เคยทำธุรกิจ เลยทำให้นอกจากจะขาดแนวทางที่ดี ยังขาดการเข้าใจปัญหาที่ถูกต้องอีกด้วย

2. เลือกคนผิด  :L4386:

          หลายคนตัดสินใจทำธุรกิจครั้งแรกด้วยความไม่มั่นใจ เลยดึงเอาคนอื่นมาร่วมกันทำธุรกิจเพื่อเป็นหุ้นส่วน ประเด็นคือการหาหุ้นส่วนไม่ใช่เรื่องผิด แต่ที่ทำให้เจ๊งจริง ๆ ตกลงผลประโยชน์กันไม่ได้ บางคนหุ้นส่วนทิ้งงาน ทะเลาะกับลูกค้า มีความคิดเห็นขัดแย้งกันเอง เป็นต้น

3. ใช้เงินคนอื่นลงทุน  :L4374:

          ตรงนี้ขัดแย้งกับความเชื่ออันเดิมของผมเป็นอย่างมาก หนังสือการเงินส่วนใหญ่สอนให้ใช้เงินคนอื่น แต่นี่คือสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เจ๊ง เพราะการเอาเงินคนอื่นมาลงจะทำให้มองไม่เห็นคุณค่าของเงิน ไม่รู้ว่าสิ่งที่เอามาลงนั้นมีมูลค่าขนาดไหน คล้ายกับพ่อแม่ซื้อ iphone ให้กับเก็บตังค์ซื้อ iphone เอง ความรัก ความภูมิใจ การถนอมธุรกิจมันแตกต่างกัน

4. อายที่จะเป็นนักขาย

          เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ คนที่เริ่มทำธุรกิจครั้งแรกหลายคนไม่กล้าที่จะเป็นนักขาย บริษัทใหญ่จะเจริญเติบโตและมีรายได้ได้อย่างไรถ้าไม่มีระบบการขายที่ดี ธุรกิจเล็ก ๆ จะรอดได้อย่างไรถ้าการขายเป็นสิ่งที่ถูกละเลย

5. ซ้ำจนเกร่อ

          รู้ไหมครับ ลูกค้าของผมส่วนเจ๊งจากธุรกิจอะไร ให้ทายสักครู่  5… 4… 3… 2… 1… ลูกค้าส่วนใหญ่ของผมเจ๊งจากธุรกิจขายกาแฟครับ โชคดีในยุคนี้คือกาแฟกลายเป็นของทานเล่นที่คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนใช้กินกัน ร้านกาแฟไม่ใช่ไม่ดี แต่ถ้าหาจุดที่ไม่ซ้ำคนอื่นไม่ได้โอกาสรอดก็ยาก (ลูกค้าผมท่านหนึ่งเปิดร้านกาแฟแล้วรวย เพราะเป็นคนสวยมาก)

6. คิดว่าเงินธุรกิจคือเงินตัวเอง

          ข้อนี้เป็นเรื่องที่ประหลาดใจมาก ๆ เพราะลูกค้าผมที่ประสบความล้มเหลวบอกกับผมว่าทำแล้วไม่มีกำไร พอผมถามเรื่องต้นทุนกับการขายปรากฏว่ามีกำไรแน่ ๆ ถามไปถามมา กำไรของธุรกิจถูกเอามาใช้กับเรื่องส่วนตัวหมด เลยทำให้กำไรเป็นขาดทุนทันที

7. หาลูกน้องดี ๆ ไม่ได้

          สำคัญใครก็ตามที่เปิดร้านแล้วต้องมีคนเฝ้า น่าประหลาดที่การหาลูกน้องเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ในยุคนี้  หลาย ๆ เจ้าของต้องลงไปทำเอง ซึ่งกำไรที่ได้ไม่คุ้มค่าตัวตัวเองแน่ ๆ เลยทำให้ต้องตัดสินใจ เจ๊ง ไปโดยปริยาย บางคนได้ลูกน้อง แต่เอาลูกน้องมาดูปุ๊บยอดตก เพราะได้ลูกน้องค่าแรงถูก แต่บุคลิกหรือการพูดกับลูกค้าไม่ได้เลย บางคนหนักหน่อย โดนขโมย

8. อีโก้แรง

          การเป็นมนุษย์เงินเดือนคุณจะง้อหรือไม่ง้อลูกค้าก็ได้ บริษัทคือส่วนเสียหาย ไม่ใช่พนักงาน แต่การทำธุรกิจครั้งแรกจำเป็นที่ต้องง้อลูกค้าอย่างมหาศาล ตราบใดที่รายได้ยังไม่สะพัด การหยิ่งเลือกไม่ง้อลูกค้าถือว่าเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง

9. ขาดความมั่นใจดื้อ ๆ

          เวลาที่ลงทุนทำอะไรแล้วไม่เป็นไปอย่างที่คิด แรกสุดเราต้องหาสาเหตุให้ได้ก่อนว่าเพราะอะไรทุกอย่างถึงไม่เป็นไปตามความคิด แต่คนส่วนใหญ่ที่เจ๊ง พอเจออุปสรรคที่นอกเหนือจากที่วางแผน ก็ท้อใจ และขาดความมั่นใจเอาดื้อ ๆ ทำให้หลาย ๆ ครั้งปัญหาเล็ก ๆ อย่างเช่น ขาดทุน กลายเป็นสวิตช์ปิดตายความสำเร็จไปเลย

10. เจอเรื่องไม่คาดฝัน


          ม็อบปิดถนน คู่แข่งมาเปิดแข่ง หุ้นส่วนทะเลาะแล้วขอแยก ลูกน้องทิ้งร้าน ลูกค้าไม่พอใจแล้วโวยวาย เป็นต้น สาเหตุเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ล้วนได้ชื่อว่าไม่คาดฝันทั้งนั้น ทำให้จำใจต้องเจ๊งไปโดยปริยาย

11. ศรัทธา Passive Income มากจนเกินไป

          จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเจ้าของไม่ลงมาทำเอง หนังสือต่าง ๆ มากมายรวมไปถึงนักพูดส่วนใหญ่เอา Passive Income เอามาใช้อย่างสวยหรู แน่นอน หลักประกันของ Passive Income มีสองอย่าง คือหนึ่งระบบคุณต้องแข็งแรงมาก ๆ และสองลูกน้องหรือผู้ร่วมธุรกิจจะต้องรักคุณมาก ๆ จนไม่กล้าทำให้คุณผิดหวัง ส่วนใหญ่ไม่มีทั้งสองทาง เลยติดกับดักของ Passive Income

12. ไม่มีเวลา

          มีลูก พ่อแม่ป่วย ย้ายบ้าน ย้ายที่ทำงาน การไม่มีเวลาดูแลธุรกิจเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ที่จะทำธุรกิจเติบโตไปได้ ผมเห็นคนที่ไม่มีเวลาจะทำแล้วธุรกิจค่อย ๆ เจ๊งไปมาเยอะ ลูกค้าผมหลายท่านก็พูดให้ฟังเรื่องการบริหารเวลาที่มีน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับภาระ เลยกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ๊งไปเลย

13. ดูถูกธุรกิจตัวเอง

          ทัศนคติเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายสำหรับธุรกิจ หลาย ๆ คนดูถูกสิ่งที่ตัวเองทำ บางคนเรียนสูง เปิดร้านกาแฟแต่ไม่ยอมลงมาทำเอง เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่สมศํกดิ์ศรีการเรียนของเขา ความจริงคืออะไรที่หาเงินได้แล้วถูกกฎหมาย ถูกศีลธรรม มันไม่มีคำว่าเสียศักดิ์ศรีหรอก

14. ลงทุนไม่รู้จักจบจักสิ้น

          การเป็นคนชอบความสมบูรณ์แบบเป็นสิ่งดี แต่หลาย ๆ ครั้งเงินทุนและกำไรทั้งหมดเอาไปลงเพื่อความสมบูรณ์แบบ ทำให้ต้นทุนของธุรกิจสูงจนน่าใจหาย สุดท้ายได้กำไรมาเท่าไหร่ ต้องหมุนเป็นเงินลงทุนหรือไม่ก็ดอกเบี้ยธนาคารทั้งสิ้น

15. คิดว่าการเริ่มต้นคือความสำเร็จ


          หากคิดว่าความสำเร็จคือการเริ่มต้น นั่นเป็นความคิดที่น่ากลัวมาก ลูกค้าผมหลายคนเขารู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหลังจากตัดสินใจลงมือทำธุรกิจ แต่ตอนที่ผมออกมาเป็น Freelance เองถึงได้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมโชคดีที่ได้รับโอกาสจาก CEO หลายท่านที่เมตตามอบหมายให้ทำงานให้ ทุกคนสอนผมเหมือนกันหมดว่าการเริ่มต้นยากและเหนื่อยที่สุด ดังนั้นคุณต้องทำใจการเริ่มต้นคือการเริ่มเหนื่อย มันยังไม่ใช่ความสำเร็จ

16. ทุกอย่างเป็นความผิดของคนอื่น

          การเมือง เศรษฐกิจ เพื่อนร่วมงาน หุ้นส่วน พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูงมิตรสหาย และเลวร้ายที่สุด คู่แข่ง และที่เลวร้ายที่สุด โทษ “ลูกค้า” การโทษคนอื่นเป็นการง่ายที่จะทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ผิด แต่คนที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยล้วนเป็นคนที่โทษตัวเองเป็นอันดับแรกทั้งสิ้น ข้อดีของการโทษตัวเองคือมันจะได้รู้จุดที่ปรับเปลี่ยนตัวเองทัน แล้วเอาไปใช้เพื่อหาเงินหาทองครับ

17. หมดแรงก่อนถึงเป้าหมาย


          อันนี้เป็นเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลที่สุด ความขี้เกียจ ท้อแท้ หมดแรงเป็นศัตรูตัวร้ายอยู่ทุกวงการอยู่แล้ว หลาย ๆ คนทำธุรกิจด้วยความอยากทำ พอทำแล้วก็เกิดความขี้เกียจแล้วพาลไม่อยากทำ ผมอยากจะบอกว่าถ้าคุณรักในสิ่งที่คุณทำ คุณจะไม่มีวันขี้เกียจ เหตุผลเดียวที่คุณยังคงขี้เกียจ แสดงว่าคุณยังไม่มีเป้าหมายชีวิตที่อยากไปให้ถึงนั่นเอง คนที่มีชีวิตที่ดีคือคนที่สู้แล้วไม่ยอมแพ้ คุณคือนักสู้หรือเปล่า ถ้าใช่ ขอให้จดจำ 17 ข้อนี้ให้ดี แล้วชีวิตคุณจะพบเจอจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิม
กิจการ คาร์แคร์ดูแลรักษารถครบวงจรด้วย Product Meguiars เคลือบแก้ว ติดตั้ง ยางลดเสียง Stuffit ติดต่อ: สมชาย Tel : 097-131-2335
Line ID: Tongsom1371 ร้านขายสินค้า: http://www.pajerosportmania.com/forum/index.php/topic,3554.0.html

ออฟไลน์ พี่ตุ้ย_Yindee

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 2,237
  • Like: 49
  • เพศ: ชาย
  • ไปทุกที่ด้วยPAJERO SPORT
 :L2879:
 :L2900: :L2900: :L2900:

ขอบคุณครับ พี่โต้ง สำหรับบทความดีๆครับ

 :L2758: :L2758: :L2758:
 :L2904: :L2897: :L2901:
:sd24: I LOVE PA_MANIA  :L4398: :sd24: "Pamania เพื่อนกันตลอดไป"

ออฟไลน์ หยก วาฬน้ำเงิน

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 5,467
  • Like: 124
  • เพศ: ชาย
ขอบคุณพี่โต้งครับ ขออนุญาตมอบ :L6428: #148 ให้ครับ :L2897:

Let's rest in Pa-Mania's style......!!!

ออฟไลน์ พี่โต้ง Tongsom

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 6,283
  • Like: 186
  • เพศ: ชาย
  • Never Say Never ไม่มีแผนเดียว ในการแก้ปัญหา
 :sd23: :sd23: :sd23: อาจเป็น 1 ในนั้น แต่สู้ไม่ถอย ถ้ามั่นใจตัวเอง แต่ไม่อีโก้   :sd42: :sd42: :sd42: :sd42:
กิจการ คาร์แคร์ดูแลรักษารถครบวงจรด้วย Product Meguiars เคลือบแก้ว ติดตั้ง ยางลดเสียง Stuffit ติดต่อ: สมชาย Tel : 097-131-2335
Line ID: Tongsom1371 ร้านขายสินค้า: http://www.pajerosportmania.com/forum/index.php/topic,3554.0.html

ออฟไลน์ บังมะ-Bangma

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 4,134
  • Like: 34
  • เพศ: ชาย
  • ไปทุกที่ ที่มีทาง
ขอบคุณครับพี่โต้งสำหรับข้อมูลและนำประสพการณ์จริงมาเหลาให้ฟัง  :sd23:

ออฟไลน์ ตูมตาม

  • Founder Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 6,865
  • Like: 260
  • เพศ: ชาย
มาขอเสริม เติมให้กับข้อมูลพี่โต้งบ้างครับ

ตอนนี้ผมอายุ 40 ปี เริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 25 ปี จบป.โทจากประเทศที่มี Premier League  ... เริ่มทำงานด้วยการเป็นอาจารย์สอนที่ ABAC สอนอยู่ได้3 ปี ... ช่วงที่สอนมีอาจารย์ที่สนิทกัน 4-5 คน คุยกันว่าน่าจะออกมาเป็นบริษัท Consult ด้วยกัน ... ตอนนั้นมีป.เอกอยู่คนเดียว ที่เหลือ ป.โท หมด ... ผมเห็นว่าถ้าจะเปิดบริษัท Consult ป.โท ไม่พอ ... ป.เอกจะน่าเชื่อถือกว่า ... ตกลงกัน เพื่อน 3 คนไปเรียน ป.เอก ก่อน ... 1 คนบินไปเรียนที่ออสเตรเลีย อีก 2 คนเรียนในเมืองไทย ... ก็แยกย้ายกันไป

ส่วนผมรับอาสาไปลุยในสายธุรกิจ ... คิดว่าเพื่อปูทางการเปิดบริษัทในอนาคต ต้องมีคนเข้าสู่วงการธุรกิจบ้าง เพื่อนไปเรียน ป.เอกกันหมด ... เหลือผมคนเดียว เลยโดดออกจากการเป็นอาจารย์ ... เข้าสู่วงการธุรกิจ ได้มีโอกาสเข้าทำงานบริษัทโฆษณา .... ได้รู้จักลูกค้าเยอะ เห็นการทำงานได้รอบด้าน เป็นประโยชน์มากๆกับการออกมาทำธุรกิจ

หลังจากผ่านไปอีก 3-4 ปี เพื่อนทุกคนจบป.เอกกลับมา ... ก็เลยมารวมตัวกันอีกครั้ง เปิดบริษัท Consult ด้านการตลาดขึ้นมา ... ผมอยู่ในตำแหน่ง Project Manager ก็รับหน้าที่ทำงานตาม Project ที่ได้รับมอบหมายไป ... และงานอีกส่วนหนึ่งคือดูแลด้านการเงิน เพราะเป็นคนเดียวที่จบด้านการเงินมา ... ตอนเปิดบริษัทนั้นผมอายุ 30 ได้แล้ว

ทำไปเรื่อยๆ แรกๆก็ดีครับ ได้ระยะหนึ่งชักจะเริ่มชะลอตัว ... ชะลอลงเรื่อยๆ ... งานก็เยอะนะครับ แต่เงินหมุนไม่ค่อยทัน ยิ่งรับงานใหญ่ เงินทุนยิ่งเยอะ เจอลูกค้าจ่ายช้าทีแบกดอกเบี้ยบานเลย ... จนต้องไปเป็นหนี้เพื่อเอาเงินมาหมุน หมุนไปหมุนมา หนี้เริ่มพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ... จนเข้าปีที่ 6 ผมในฐานะดูแลการเงินแจ้งกรรมการว่า ถ้าทำแบบนี้ต่อไป ไปไม่รอดแน่นอน รายได้ที่หาได้แทบจะกลบดอกเบี้ยไม่มิด ... ยอดหนี้พุ่งไปน่าจะประมาณ 7-8 ล้าน ไม่รวมเงินยืมจากกรรมการ

กรรมการบริษัทตอนนั้นนอกจากเพื่อนที่เป็นผู้ก่อตั้งด้วยกันแล้ว ก็มีคนอื่นๆมาหุ้นเพิ่มอีก 3-4 คน ประชุมกัน ... ผมเสนอแนวทางแก้ปัญหาไป ....แรกๆไม่มีใครยอมรับ หาว่าผมบ้า เพราะมันเสี่ยงมาก .... ประชุมกันหลายรอบจนกรรมการยอมเสี่ยง ... ตอนนั้นเลยให้ผมขึ้นเป็น MD ชั่วคราว จัดการ Reengineering บริษัทใหม่ทั้งหมด

ผมใช้เวลา 2 ปี จ่ายชำระเงินกู้คืนได้ทั้งหมด คืนเงินกู้กรรมการได้หมด ปัจจุบันบริษัทเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องกู้ยืมเงินใดๆ ปลายปีมีโบนัสจ่ายลูกน้องได้คนละ 3-4 เดือน ... ส่วนผมขอลาออกจาก MD ออกมาเป็น Freelance ของบริษัท ไม่รับเงินเดือนประจำ รับเงินตามโปรเจคที่ตัวเองรับทำ ... ช่วงไหนเหนื่อย อยากพักก็ไม่รับ ช่วงไหนเงินน้อยก็รับเยอะหน่อย ... ทำไปพักไปครับ เพราะช่วงที่ reengineering เหนื่อยมากครับ

ตอนนี้ผมก็หาลู่ทางทำธุรกิจอื่นๆหารายได้เสริมไปครับ เพราะงาน consult พูดตรงๆว่ามันเหนื่อยมาก เวลารับ project ทีนี่ แทบจะเอาพลังงานชีวิตในอนาคตมาใช้กันเลยทีเดียว ... ยิ่งรับเยอะอายุยิ่งสั้นครับ

ที่อยากเอามาแชร์ให้พี่ๆฟัง ก็คือแนวคิดในการ reengineering นี่แหละครับ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพี่ๆที่อยากทำธุรกิจส่วนตัว หรือกำลังทำธุรกิจส่วนตัวอยู่นะครับ ... เดี๋ยวมาเหลาให้ฟังั
We are put in situations to build our characters, not to destroy us.

ออฟไลน์ ชาย Ekamai

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 172
  • Like: 17
  • เพศ: ชาย
ลากเก้าอี้มารอฟังพี่ตูมตามเล่าเรื่องการ reengineer เลยครับ

 :sd10: :sd10: :sd10:

ออฟไลน์ พี่โต้ง Tongsom

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 6,283
  • Like: 186
  • เพศ: ชาย
  • Never Say Never ไม่มีแผนเดียว ในการแก้ปัญหา
มาขอเสริม เติมให้กับข้อมูลพี่โต้งบ้างครับ

ตอนนี้ผมอายุ 40 ปี เริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 25 ปี จบป.โทจากประเทศที่มี Premier League  ... เริ่มทำงานด้วยการเป็นอาจารย์สอนที่ ABAC สอนอยู่ได้3 ปี ... ช่วงที่สอนมีอาจารย์ที่สนิทกัน 4-5 คน คุยกันว่าน่าจะออกมาเป็นบริษัท Consult ด้วยกัน ... ตอนนั้นมีป.เอกอยู่คนเดียว ที่เหลือ ป.โท หมด ... ผมเห็นว่าถ้าจะเปิดบริษัท Consult ป.โท ไม่พอ ... ป.เอกจะน่าเชื่อถือกว่า ... ตกลงกัน เพื่อน 3 คนไปเรียน ป.เอก ก่อน ... 1 คนบินไปเรียนที่ออสเตรเลีย อีก 2 คนเรียนในเมืองไทย ... ก็แยกย้ายกันไป

ส่วนผมรับอาสาไปลุยในสายธุรกิจ ... คิดว่าเพื่อปูทางการเปิดบริษัทในอนาคต ต้องมีคนเข้าสู่วงการธุรกิจบ้าง เพื่อนไปเรียน ป.เอกกันหมด ... เหลือผมคนเดียว เลยโดดออกจากการเป็นอาจารย์ ... เข้าสู่วงการธุรกิจ ได้มีโอกาสเข้าทำงานบริษัทโฆษณา .... ได้รู้จักลูกค้าเยอะ เห็นการทำงานได้รอบด้าน เป็นประโยชน์มากๆกับการออกมาทำธุรกิจ

หลังจากผ่านไปอีก 3-4 ปี เพื่อนทุกคนจบป.เอกกลับมา ... ก็เลยมารวมตัวกันอีกครั้ง เปิดบริษัท Consult ด้านการตลาดขึ้นมา ... ผมอยู่ในตำแหน่ง Project Manager ก็รับหน้าที่ทำงานตาม Project ที่ได้รับมอบหมายไป ... และงานอีกส่วนหนึ่งคือดูแลด้านการเงิน เพราะเป็นคนเดียวที่จบด้านการเงินมา ... ตอนเปิดบริษัทนั้นผมอายุ 30 ได้แล้ว

ทำไปเรื่อยๆ แรกๆก็ดีครับ ได้ระยะหนึ่งชักจะเริ่มชะลอตัว ... ชะลอลงเรื่อยๆ ... งานก็เยอะนะครับ แต่เงินหมุนไม่ค่อยทัน ยิ่งรับงานใหญ่ เงินทุนยิ่งเยอะ เจอลูกค้าจ่ายช้าทีแบกดอกเบี้ยบานเลย ... จนต้องไปเป็นหนี้เพื่อเอาเงินมาหมุน หมุนไปหมุนมา หนี้เริ่มพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ... จนเข้าปีที่ 6 ผมในฐานะดูแลการเงินแจ้งกรรมการว่า ถ้าทำแบบนี้ต่อไป ไปไม่รอดแน่นอน รายได้ที่หาได้แทบจะกลบดอกเบี้ยไม่มิด ... ยอดหนี้พุ่งไปน่าจะประมาณ 7-8 ล้าน ไม่รวมเงินยืมจากกรรมการ

กรรมการบริษัทตอนนั้นนอกจากเพื่อนที่เป็นผู้ก่อตั้งด้วยกันแล้ว ก็มีคนอื่นๆมาหุ้นเพิ่มอีก 3-4 คน ประชุมกัน ... ผมเสนอแนวทางแก้ปัญหาไป ....แรกๆไม่มีใครยอมรับ หาว่าผมบ้า เพราะมันเสี่ยงมาก .... ประชุมกันหลายรอบจนกรรมการยอมเสี่ยง ... ตอนนั้นเลยให้ผมขึ้นเป็น MD ชั่วคราว จัดการ Reengineering บริษัทใหม่ทั้งหมด

ผมใช้เวลา 2 ปี จ่ายชำระเงินกู้คืนได้ทั้งหมด คืนเงินกู้กรรมการได้หมด ปัจจุบันบริษัทเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องกู้ยืมเงินใดๆ ปลายปีมีโบนัสจ่ายลูกน้องได้คนละ 3-4 เดือน ... ส่วนผมขอลาออกจาก MD ออกมาเป็น Freelance ของบริษัท ไม่รับเงินเดือนประจำ รับเงินตามโปรเจคที่ตัวเองรับทำ ... ช่วงไหนเหนื่อย อยากพักก็ไม่รับ ช่วงไหนเงินน้อยก็รับเยอะหน่อย ... ทำไปพักไปครับ เพราะช่วงที่ reengineering เหนื่อยมากครับ

ตอนนี้ผมก็หาลู่ทางทำธุรกิจอื่นๆหารายได้เสริมไปครับ เพราะงาน consult พูดตรงๆว่ามันเหนื่อยมาก เวลารับ project ทีนี่ แทบจะเอาพลังงานชีวิตในอนาคตมาใช้กันเลยทีเดียว ... ยิ่งรับเยอะอายุยิ่งสั้นครับ

ที่อยากเอามาแชร์ให้พี่ๆฟัง ก็คือแนวคิดในการ reengineering นี่แหละครับ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพี่ๆที่อยากทำธุรกิจส่วนตัว หรือกำลังทำธุรกิจส่วนตัวอยู่นะครับ ... เดี๋ยวมาเหลาให้ฟังั

ขอบคุณมาก พี่ตาม ที่มาเสริม เว็บ ปามาเนียมีหลายรสชาติจริงๆ


ตัวจริง เสียงจริง ทำจริง เสี่ยงจริง ได้จริง ก็มันจริงๆ

พอจะมีช่องทาง ปรึกษากัน พร้อมเสี่ยง มั่นใจ อย่ารอ 55 ครับ
กิจการ คาร์แคร์ดูแลรักษารถครบวงจรด้วย Product Meguiars เคลือบแก้ว ติดตั้ง ยางลดเสียง Stuffit ติดต่อ: สมชาย Tel : 097-131-2335
Line ID: Tongsom1371 ร้านขายสินค้า: http://www.pajerosportmania.com/forum/index.php/topic,3554.0.html

ออฟไลน์ ตูมตาม

  • Founder Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 6,865
  • Like: 260
  • เพศ: ชาย
หลักการและข้อคิดที่ได้จากการ reengineering บริษัทที่อยากเอามาแชร์นะครับ หวังว่าพี่ๆคงได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย

1. การลดค่าใช้จ่าย สำคัญกว่าการเพิ่มรายได้

นี่คือเรื่องที่แทบทุกคนละเลย ทุกคนคิดแต่อยากจะเพิ่มรายได้ โดยไม่หาวิธีลดค่าใช้จ่าย หรือโดยปกติเวลาดูค่าใช้จ่าย มันจะหยุมหยิม เล็กๆน้อยๆ เยอะแยะ บวกๆกันไปมันถึงจะเยอะ พอบอกว่าให้ลดค่าใช้จ่าย คิดไม่ออก เพราะไม่รู้จะลดตรงไหนดี ตรงนั้นก็ลดไม่ได้ ตรงนี้ก็ลดไม่ลง หรือประเภทคิดว่า ลดลงได้ก็นิดหน่อย อย่าไปลดมันเลย ... แบบนี้อันตรายครับ ... การลดค่าใช้จ่ายต้องยึดหลัก "ลดไป 1 บาท เท่ากับได้กำไรเพิ่ม 1 บาท" การเพิ่มรายได้โดยละเลยการควบคุมค่าใช้จ่าย ก็เหมือนคุณเติมน้ำลงในแก้วที่รั่ว มันไม่มีวันเต็มหรอกครับ


2. กระแสเงินสด สำคัญกว่า กำไร

คนเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวแทบทุกคน คิดถึงแต่กำไร แต่เชื่อมั๊ยครับ ธุรกิจใหม่ๆที่เปิดขึ้นมาแล้วเจ๊งไป ใน 10 บริษัทที่เจ๊ง มีถึง 8 บริษัทที่ทำแล้วมีกำไร ... แต่ที่เจ๊ง เพราะกระแสเงินสดครับ ง่ายๆคือ มันหมุนเงินไม่ทัน เพราะปกติคนเริ่มทำธุรกิจคิดแค่ว่าต้นทุนเท่าไหร่ ขายได้เท่าไหร่ หักลับกันแล้ว เหลือก็มีกำไร ... แต่บางทีลืมนึกไปว่า ต้นทุนหลายอย่างเราต้องจ่ายออกทุกวัน เลื่อนไม่ได้ ... แต่เวลาเราขาย ไม่ได้ขายได้ทุกวัน ยิ่งถ้าธุรกิจประเภทมี credit term เจอเข้าไปอีก 30-60 วันกว่าลูกค้าจะจ่าย ระหว่างนั้นค่าใช้จ่าย + ต้นทุน เราต้องควักออกไปก่อน ... สุดท้ายบริหารเงินสดไม่ดี หมุนไม่ทัน ต้องไปกู้มาหมุน โดนดอกเบี้ย เพิ่มภาระเป็นค่าใช้จ่ายเข้ามาอีก ... วนไปวนมาจนหนี้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด ยังไม่เข้าใจว่าเจ๊งได้ยังงัย เมื่อตัวเลขรายได้(ทางบัญชี) - ค่าใช้จ่าย เป็นบวกทุกเดือน


3. อย่าหลงรักสินค้า/บริการของตัวเอง

คนที่จะมาเปิดธุรกิจของตัวเอง ทุกคนเชื่อมั่นในสินค้า/บริการของตัวเองทั้งนั้น และความเชื่อมั่นนั้นมักจะอยู่บนคำว่า "สินค้า/บริการของเรา ดีกว่าคู่แข่ง" สินค้า/บริการของคุณดีกว่าหรือแย่กว่าคู่แข่งไม่ได้อยู่ที่คุณเป็นคนตัดสิน คนที่จะตัดสินคุณในสงครามธุรกิจคือลูกค้า ต่อให้คุณมีสินค้าที่แย่กว่าคู่แข่ง แต่ตราบที่ลูกค้าเชื่อว่าคุณดีกว่าคู่แข่งคุณก็ขายได้ สินค้าที่เราใช้กันทุกวัน สบู่ แชมพู ยาสีฟัน ฯลฯ ถ้าลองไปดูที่ส่วนผสมและการผลิต คุณจะเห็นว่าเจ้าตลาดคุณภาพด้อยกว่ายี่ห้อเบอร์ 2 3 4 แทบทั้งนั้น แต่เจ้าตลาดกลับขายได้ดีกว่ายี่ห้อพวกนั้น 2-3 เท่า การทำสินค้า/บริการของคุณให้ดีเป็นแค่พื้นฐาน แต่คุณต้องทำให้ลูกค้าเชื่อว่าคุณดีกว่าคู่แข่งด้วยคุณถึงจะรอด


4. ลูกค้ามีแบบลูกค้าดี และก็มีแบบลูกค้าแย่

ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า เพราะพระเจ้าต้องดี แต่ลูกค้ามีดี มีเลว คุณต้องเลือกให้ดีว่าคุณจะเอาหรือรับลูกค้าแบบไหน ลูกค้าบางคนได้มา เรามีรายได้จริง แต่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นตามมาด้วย ต้นทุนมีทั้งแบบมองเห็นและมองไม่เห็น แค่ลูกค้าจ่ายช้าต้นทุนคุณก็เพิ่มแล้ว ดังนั้นคุณต้องเลือกลูกค้าให้ดีว่าคุณจะรับหรือไม่รับใคร อย่าลืมว่าการได้ลูกค้าไม่ดีมา คุณก็ต้องเสีย resource ไปให้กับเขา เมื่อลูกค้าดีๆเข้ามา resource ไม่พอคุณก็ทำงานให้เขาได้ไม่ดี แต่การเลือกลูกค้านั้นทำยากมาก เพราะส่วนใหญ่เจ้าของธุรกิจจะคิดแต่ในเรื่องรายได้ ไม่ได้มองต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเมื่อคุณรับลูกค้าไม่ดีเข้ามา คนที่จะเลือกลูกค้าได้คือคนทีมีต้นทุน หรือค่าใช้จ่ายต่ำๆ คนพวกนี้ตั้งตัวเองอยู่ในสถานะที่ไม่ตายหรือตายยาก ดังนั้นไม่ต้องรับลูกค้าไม่เลือกหน้า เขาสามารถเลือกลูกค้าได้ ทุ่มเท resource ให้กับลูกค้าที่ดี ปล่อยลูกค้าไม่ดีให้ไปใช้บริการคู่แข่งไป ไปเป็นภาระให้คู่แข่ง


5. คนคือปัญหา

ปัญหาเรื่องคนเป็นปัญหาโลกแตก ยิ่งสมัยนี้ยิ่งหนัก ระบบการศึกษา + ระบบการเลี้ยงดูลูก ทำให้คนสมัยนี้ไม่สู้งาน ไม่อยากทำงานหนัก งานหนักไปพ่อแม่บังคับให้ลาออกซะงั้น จากประสบการณ์ 10 ปีที่บริหารทีม consult มีลูกน้องเข้าและออกเยอะแยะ ผมเรียนรู้ว่าความรับผิดชอบ สำคัญกว่าความฉลาด คนโง่สอนได้ คนไม่รับผิดชอบสอนยาก รับคนเก่งประสบการณ์เยอะ เงินเดือนก็มากตามมา ถ้าไม่รับผิดชอบ เอาเงินเดือนเยอะๆนี้ไปจ่ายให้คนไม่ค่อยเก่ง เด็กใหม่ไร้ประสบการณ์ เอามาปั้นเอามาสอนบางทีจะคุ้มค่ากว่า


6. เจ้าของต้องทำงานน้อย ลูกน้องต้องทำงานเยอะ

เจ้าของธุรกิจเยอะแยะ ทำงานหนัก เผลอๆหนักกว่าลูกน้องที่จ้างมาทำงานซะอีก บางคนลูกน้องเยอะแยะ แต่ต้องทำงานเองวันละหลายๆชั่วโมง อาทิตย์ละ 7 วันไม่มีพัก แบบนี้ดีมั๊ย ก็ดีครับสำหรับธุรกิจ แต่จะดีได้นานแค่ไหน คนไม่ใช่เครื่องจักร ต้องมีหยุด มีพัก ถ้าเจ้าของยังต้องทำงานหนัก แปลว่าธุรกิจอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้าของ แบบนี้ธุรกิจไม่ยั่งยืน อายุของธุรกิจก็ไม่มีทางยาวนานกว่าอายุเจ้าของ เพราะถ้าเจ้าของตาย มันก็จบ ลูกน้องจ้างมาแล้วต้องให้เขาทำงาน ถ้าเมื่อไหร่เจ้าของทำงานมากกว่าลูกน้อง แสดงว่าทั้งเจ้านายลูกน้องด้อยคุณภาพพอกัน เจ้านายด้อยคุณภาพที่สอนลูกน้องไม่เป็น พัฒนาคนไม่ได้ ส่วนลูกน้องก็ด้อยคุณภาพที่ทำงานไม่ดี ไม่มีการพัฒนาตัวเอง ไม่สามารถทำให้เจ้านายไว้ใจได้ ทำงานแบบนี้เรียก "เตี้ยอุ้มค่อม" เจ้าของต้องทำงานให้น้อย เอาเวลาไปทำอย่างอื่นครับ ไปมองภาพรวม หาทางขยับขยายธุรกิจ อะไรประมาณนั้น ถ้าเจ้าของลงมาโม่ day to day operation แล้วใครจะควบคุมทิศทางธุรกิจ เหมือนเดินเรือ ถ้ากัปตันต้องลงมาพายเรือ แล้วใครจะคุมหางเสือของเรือ


จากข้อคิด 6 ข้อข้างบน ผมนำมาปรับใช้ในการ reengineering จากเดิมที่บริษัทที่ค่าใช้จ่ายประมาณ 6-7 แสนต่อเดือนที่ต้องจ่ายประจำ ตอนนี้เหลือแสนกว่าบาท จากต้องจ่ายค่าเช่า office เดือนละเป็นแสน ตอนนี้กลายเป็น virtual office พนักงานเข้า office เฉพาะวันที่มีประชุม ที่เหลือทำงานที่บ้าน พนักงานไม่ต้องเดินทาง ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา จากที่ต้องรับลูกค้าไม่เลือกหน้า ตอนนี้ผมปฏิเสธลูกค้าส่วนใหญ่ที่ติดต่อเข้ามา รับทำให้เฉพาะลูกค้าดีๆ ที่อยู่กับเราอยู่แล้วก็เหลือเฟือแล้ว จากงานที่ต้องทำให้ลูกค้าเยอะๆ ไม่มีคุณภาพ ปรับมาเป็นคุณภาพเน้นๆให้โดนใจลูกค้า เมื่อก่อนต้องไปเลี้ยงลูกค้า ไปเยี่ยมลูกค้า พาลูกค้าไปเที่ยว เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้วครับ ลูกค้ามาต่อขอจองคิวทำ ต้นปีคิวเต็มยันปลายปี

การ reengineering ครั้งนี้นอกจากจะปรับบริษัทแล้ว ผมเองก็ปรับชีวิตผมด้วย จากเดิมที่ทำงานวันละ 15-16 ชั่วโมง ... ขนาดนั้นจริงๆนะ วันนึงผมได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง บางทีไม่ได้นอนเลย 2-3 วัน ทุกวันทำแต่งาน แทบไม่มีวันหยุด ปัจจุบันทำบ้างพักบ้าง เสร็จ 1 โปรเจคผมจะพัก 1 อาทิตย์เป็นอย่างต่ำ ทำงานแค่วันละ 8-9 ชั่วโมงพอ มีหนักบ้างช่วงปิดโปรเจค พอได้เงินโปรเจคก็พาครอบครัวไปเที่ยว ให้เวลากับครอบครัวเยอะๆ

"ถ้าเราตายไปวันนี้ ไม่กี่วันบริษัทก็หาคนมาทำงานแทนเราได้ แต่ครอบครัวเราซิที่ไม่มีวันจะหาใครมาแทนเราได้" นี่คือ concept ในการทำงานและใช้ชีวิตของผมทุกวันนี้ครับ


 :L4399: :L4399:
We are put in situations to build our characters, not to destroy us.

ออฟไลน์ ชาย Ekamai

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 172
  • Like: 17
  • เพศ: ชาย
 :L2888: :L2888: :L2888:

ขอบคุณมากครับ

อ่านกระทู้ของพี่ตูมตามแล้วได้ความรู้จริงๆ ที่สำคัญคือจากประสบการณ์จริงซะด้วย

อีกอย่างนึงที่ชอบคือสไตล์การเขียนพี่ตูมตามครับ สามารถสรุปเรื่องออกมาได้เป็นหัวข้อๆ ทำให้อ่านแล้วสามารถจับใจความสำคัญได้โดยง่ายครับ

 :L6428: :L6428: :L6428:

ออฟไลน์ ใหม่ Mai & tu

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 769
  • Like: 14
  • เพศ: ชาย
 :L2900: ขอขอบคุณกับการแชร์ประสบการณ์คั้งนี้  :L2900: :L2905:

ออฟไลน์ พี่ม่อน

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 1,362
  • Like: 47
  • เพศ: ชาย
เพื่อนมี  :L6419:  ม่อนไม่มีได้งัย  :L2754: :L2754: :L2754:

ออฟไลน์ Jojo (โจ้)

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 4,482
  • Like: 221
  • เพศ: ชาย
ขอบคุณพี่โต้งและพี่ตูมตามสำหรับข้อมูลดีๆครับ
 :sd23: :sd23: :sd23:
***ขอความร่วมมืออย่าเล่นกระทู้โพสหลายกระทู้ด้วย EMO บ่อยๆอย่างเดียวนะครับ***

http://www.pajerosportmania.com/forum/index.php/topic,4043.0.html

ออฟไลน์ หยก วาฬน้ำเงิน

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 5,467
  • Like: 124
  • เพศ: ชาย
เรื่องของพี่ตามสามารถพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่าวุฒิการศึกษาไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จ เห็นได้จากการที่บริษัทมี ดร.ถึง 3 คนแต่ก็เอาธุรกิจเกือบจะไม่รอด ดีที่มีพระเอกขี่มาขาวมาช่วยไว้ เดี๋ยวนี้ถอยออกมาดูห่างๆ พระเอกของเราเปลี่ยนจากขี่ม้าขาวมาขับหนูขาวแทน :sd42: :sd42: ขอมอบ :L6428: #203 ให้พี่ตามครับ :L2900: :L2900:

Let's rest in Pa-Mania's style......!!!

ออฟไลน์ บังมะ-Bangma

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 4,134
  • Like: 34
  • เพศ: ชาย
  • ไปทุกที่ ที่มีทาง
ขอบคุณครับพี่ตามสำหรับข้อมูลที่มาแชร์กันได้สาระไปเยอะเลยขอนำไปใช้บ้างนะครับที่สำคัญพี่ตามจะให้ core value ที่ครอบครัวเป็นหลัก  :L2900:

ออฟไลน์ อั๋น ราชพฤกษ์

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 5,434
  • Like: 171
  • เพศ: ชาย
ขอบคุณคับ.    พี่ตามกับพี่โต้งมากๆคับ.    ทุกอย่างเราต้องเหนื่อยมากกว่าลูกน้องจึงจะประสบความสำเร็จคับ. ผมคิดแบบนี้อ่ะคับ.     :L2900:
สบาย สบาย. ชิว ชิว คร้าบบ

ออฟไลน์ ปัง ปาดำMMTh

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 26
  • Like: 1
  • เพศ: ชาย
  • PANG PANG MAN
Imaging is more important than knowlede

ออฟไลน์ เหน่ง

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 52
  • Like: 6
  • เพศ: ชาย
  • กว่าจะได้มาต้องลงทุน
ขอบคุณพี่โต้ง และ พี่ตาม มากๆ ครับ
เป็นความรู้ที่ไม่มีในตำรา
เสมอต้น..เสมอปลาย..อาจไม่เสมอไป

ออฟไลน์ เด่น โคราช

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 111
  • Like: 2
  • เพศ: ชาย

ออฟไลน์ พี่เอ-A/Ukrit

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 1,309
  • Like: 28
  • เพศ: ชาย
ขอบคุณความรู้ เเละประสบการณ์ของพี่ๆคับ มีประโยชน์มากคับ
ชีวิคไม่สิ้นก็ดิ้นต่อไป

ออฟไลน์ Goodboy

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 2,813
  • Like: 35
  • เพศ: ชาย
หลักการและข้อคิดที่ได้จากการ reengineering บริษัทที่อยากเอามาแชร์นะครับ หวังว่าพี่ๆคงได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย

1. การลดค่าใช้จ่าย สำคัญกว่าการเพิ่มรายได้

นี่คือเรื่องที่แทบทุกคนละเลย ทุกคนคิดแต่อยากจะเพิ่มรายได้ โดยไม่หาวิธีลดค่าใช้จ่าย หรือโดยปกติเวลาดูค่าใช้จ่าย มันจะหยุมหยิม เล็กๆน้อยๆ เยอะแยะ บวกๆกันไปมันถึงจะเยอะ พอบอกว่าให้ลดค่าใช้จ่าย คิดไม่ออก เพราะไม่รู้จะลดตรงไหนดี ตรงนั้นก็ลดไม่ได้ ตรงนี้ก็ลดไม่ลง หรือประเภทคิดว่า ลดลงได้ก็นิดหน่อย อย่าไปลดมันเลย ... แบบนี้อันตรายครับ ... การลดค่าใช้จ่ายต้องยึดหลัก "ลดไป 1 บาท เท่ากับได้กำไรเพิ่ม 1 บาท" การเพิ่มรายได้โดยละเลยการควบคุมค่าใช้จ่าย ก็เหมือนคุณเติมน้ำลงในแก้วที่รั่ว มันไม่มีวันเต็มหรอกครับ


2. กระแสเงินสด สำคัญกว่า กำไร

คนเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวแทบทุกคน คิดถึงแต่กำไร แต่เชื่อมั๊ยครับ ธุรกิจใหม่ๆที่เปิดขึ้นมาแล้วเจ๊งไป ใน 10 บริษัทที่เจ๊ง มีถึง 8 บริษัทที่ทำแล้วมีกำไร ... แต่ที่เจ๊ง เพราะกระแสเงินสดครับ ง่ายๆคือ มันหมุนเงินไม่ทัน เพราะปกติคนเริ่มทำธุรกิจคิดแค่ว่าต้นทุนเท่าไหร่ ขายได้เท่าไหร่ หักลับกันแล้ว เหลือก็มีกำไร ... แต่บางทีลืมนึกไปว่า ต้นทุนหลายอย่างเราต้องจ่ายออกทุกวัน เลื่อนไม่ได้ ... แต่เวลาเราขาย ไม่ได้ขายได้ทุกวัน ยิ่งถ้าธุรกิจประเภทมี credit term เจอเข้าไปอีก 30-60 วันกว่าลูกค้าจะจ่าย ระหว่างนั้นค่าใช้จ่าย + ต้นทุน เราต้องควักออกไปก่อน ... สุดท้ายบริหารเงินสดไม่ดี หมุนไม่ทัน ต้องไปกู้มาหมุน โดนดอกเบี้ย เพิ่มภาระเป็นค่าใช้จ่ายเข้ามาอีก ... วนไปวนมาจนหนี้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด ยังไม่เข้าใจว่าเจ๊งได้ยังงัย เมื่อตัวเลขรายได้(ทางบัญชี) - ค่าใช้จ่าย เป็นบวกทุกเดือน


3. อย่าหลงรักสินค้า/บริการของตัวเอง

คนที่จะมาเปิดธุรกิจของตัวเอง ทุกคนเชื่อมั่นในสินค้า/บริการของตัวเองทั้งนั้น และความเชื่อมั่นนั้นมักจะอยู่บนคำว่า "สินค้า/บริการของเรา ดีกว่าคู่แข่ง" สินค้า/บริการของคุณดีกว่าหรือแย่กว่าคู่แข่งไม่ได้อยู่ที่คุณเป็นคนตัดสิน คนที่จะตัดสินคุณในสงครามธุรกิจคือลูกค้า ต่อให้คุณมีสินค้าที่แย่กว่าคู่แข่ง แต่ตราบที่ลูกค้าเชื่อว่าคุณดีกว่าคู่แข่งคุณก็ขายได้ สินค้าที่เราใช้กันทุกวัน สบู่ แชมพู ยาสีฟัน ฯลฯ ถ้าลองไปดูที่ส่วนผสมและการผลิต คุณจะเห็นว่าเจ้าตลาดคุณภาพด้อยกว่ายี่ห้อเบอร์ 2 3 4 แทบทั้งนั้น แต่เจ้าตลาดกลับขายได้ดีกว่ายี่ห้อพวกนั้น 2-3 เท่า การทำสินค้า/บริการของคุณให้ดีเป็นแค่พื้นฐาน แต่คุณต้องทำให้ลูกค้าเชื่อว่าคุณดีกว่าคู่แข่งด้วยคุณถึงจะรอด


4. ลูกค้ามีแบบลูกค้าดี และก็มีแบบลูกค้าแย่

ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า เพราะพระเจ้าต้องดี แต่ลูกค้ามีดี มีเลว คุณต้องเลือกให้ดีว่าคุณจะเอาหรือรับลูกค้าแบบไหน ลูกค้าบางคนได้มา เรามีรายได้จริง แต่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นตามมาด้วย ต้นทุนมีทั้งแบบมองเห็นและมองไม่เห็น แค่ลูกค้าจ่ายช้าต้นทุนคุณก็เพิ่มแล้ว ดังนั้นคุณต้องเลือกลูกค้าให้ดีว่าคุณจะรับหรือไม่รับใคร อย่าลืมว่าการได้ลูกค้าไม่ดีมา คุณก็ต้องเสีย resource ไปให้กับเขา เมื่อลูกค้าดีๆเข้ามา resource ไม่พอคุณก็ทำงานให้เขาได้ไม่ดี แต่การเลือกลูกค้านั้นทำยากมาก เพราะส่วนใหญ่เจ้าของธุรกิจจะคิดแต่ในเรื่องรายได้ ไม่ได้มองต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเมื่อคุณรับลูกค้าไม่ดีเข้ามา คนที่จะเลือกลูกค้าได้คือคนทีมีต้นทุน หรือค่าใช้จ่ายต่ำๆ คนพวกนี้ตั้งตัวเองอยู่ในสถานะที่ไม่ตายหรือตายยาก ดังนั้นไม่ต้องรับลูกค้าไม่เลือกหน้า เขาสามารถเลือกลูกค้าได้ ทุ่มเท resource ให้กับลูกค้าที่ดี ปล่อยลูกค้าไม่ดีให้ไปใช้บริการคู่แข่งไป ไปเป็นภาระให้คู่แข่ง


5. คนคือปัญหา

ปัญหาเรื่องคนเป็นปัญหาโลกแตก ยิ่งสมัยนี้ยิ่งหนัก ระบบการศึกษา + ระบบการเลี้ยงดูลูก ทำให้คนสมัยนี้ไม่สู้งาน ไม่อยากทำงานหนัก งานหนักไปพ่อแม่บังคับให้ลาออกซะงั้น จากประสบการณ์ 10 ปีที่บริหารทีม consult มีลูกน้องเข้าและออกเยอะแยะ ผมเรียนรู้ว่าความรับผิดชอบ สำคัญกว่าความฉลาด คนโง่สอนได้ คนไม่รับผิดชอบสอนยาก รับคนเก่งประสบการณ์เยอะ เงินเดือนก็มากตามมา ถ้าไม่รับผิดชอบ เอาเงินเดือนเยอะๆนี้ไปจ่ายให้คนไม่ค่อยเก่ง เด็กใหม่ไร้ประสบการณ์ เอามาปั้นเอามาสอนบางทีจะคุ้มค่ากว่า


6. เจ้าของต้องทำงานน้อย ลูกน้องต้องทำงานเยอะ

เจ้าของธุรกิจเยอะแยะ ทำงานหนัก เผลอๆหนักกว่าลูกน้องที่จ้างมาทำงานซะอีก บางคนลูกน้องเยอะแยะ แต่ต้องทำงานเองวันละหลายๆชั่วโมง อาทิตย์ละ 7 วันไม่มีพัก แบบนี้ดีมั๊ย ก็ดีครับสำหรับธุรกิจ แต่จะดีได้นานแค่ไหน คนไม่ใช่เครื่องจักร ต้องมีหยุด มีพัก ถ้าเจ้าของยังต้องทำงานหนัก แปลว่าธุรกิจอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้าของ แบบนี้ธุรกิจไม่ยั่งยืน อายุของธุรกิจก็ไม่มีทางยาวนานกว่าอายุเจ้าของ เพราะถ้าเจ้าของตาย มันก็จบ ลูกน้องจ้างมาแล้วต้องให้เขาทำงาน ถ้าเมื่อไหร่เจ้าของทำงานมากกว่าลูกน้อง แสดงว่าทั้งเจ้านายลูกน้องด้อยคุณภาพพอกัน เจ้านายด้อยคุณภาพที่สอนลูกน้องไม่เป็น พัฒนาคนไม่ได้ ส่วนลูกน้องก็ด้อยคุณภาพที่ทำงานไม่ดี ไม่มีการพัฒนาตัวเอง ไม่สามารถทำให้เจ้านายไว้ใจได้ ทำงานแบบนี้เรียก "เตี้ยอุ้มค่อม" เจ้าของต้องทำงานให้น้อย เอาเวลาไปทำอย่างอื่นครับ ไปมองภาพรวม หาทางขยับขยายธุรกิจ อะไรประมาณนั้น ถ้าเจ้าของลงมาโม่ day to day operation แล้วใครจะควบคุมทิศทางธุรกิจ เหมือนเดินเรือ ถ้ากัปตันต้องลงมาพายเรือ แล้วใครจะคุมหางเสือของเรือ


จากข้อคิด 6 ข้อข้างบน ผมนำมาปรับใช้ในการ reengineering จากเดิมที่บริษัทที่ค่าใช้จ่ายประมาณ 6-7 แสนต่อเดือนที่ต้องจ่ายประจำ ตอนนี้เหลือแสนกว่าบาท จากต้องจ่ายค่าเช่า office เดือนละเป็นแสน ตอนนี้กลายเป็น virtual office พนักงานเข้า office เฉพาะวันที่มีประชุม ที่เหลือทำงานที่บ้าน พนักงานไม่ต้องเดินทาง ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา จากที่ต้องรับลูกค้าไม่เลือกหน้า ตอนนี้ผมปฏิเสธลูกค้าส่วนใหญ่ที่ติดต่อเข้ามา รับทำให้เฉพาะลูกค้าดีๆ ที่อยู่กับเราอยู่แล้วก็เหลือเฟือแล้ว จากงานที่ต้องทำให้ลูกค้าเยอะๆ ไม่มีคุณภาพ ปรับมาเป็นคุณภาพเน้นๆให้โดนใจลูกค้า เมื่อก่อนต้องไปเลี้ยงลูกค้า ไปเยี่ยมลูกค้า พาลูกค้าไปเที่ยว เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้วครับ ลูกค้ามาต่อขอจองคิวทำ ต้นปีคิวเต็มยันปลายปี

การ reengineering ครั้งนี้นอกจากจะปรับบริษัทแล้ว ผมเองก็ปรับชีวิตผมด้วย จากเดิมที่ทำงานวันละ 15-16 ชั่วโมง ... ขนาดนั้นจริงๆนะ วันนึงผมได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง บางทีไม่ได้นอนเลย 2-3 วัน ทุกวันทำแต่งาน แทบไม่มีวันหยุด ปัจจุบันทำบ้างพักบ้าง เสร็จ 1 โปรเจคผมจะพัก 1 อาทิตย์เป็นอย่างต่ำ ทำงานแค่วันละ 8-9 ชั่วโมงพอ มีหนักบ้างช่วงปิดโปรเจค พอได้เงินโปรเจคก็พาครอบครัวไปเที่ยว ให้เวลากับครอบครัวเยอะๆ

"ถ้าเราตายไปวันนี้ ไม่กี่วันบริษัทก็หาคนมาทำงานแทนเราได้ แต่ครอบครัวเราซิที่ไม่มีวันจะหาใครมาแทนเราได้" นี่คือ concept ในการทำงานและใช้ชีวิตของผมทุกวันนี้ครับ



 :L4399: :L4399:
ขอบคุณมากครับมัสเซอร์ตามครัช
Pamania so good

ออฟไลน์ ชาย Ekamai

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 172
  • Like: 17
  • เพศ: ชาย
มาอ่านอีก 1 รอบ ชอบตรงนี้ครับ

"ลดไป 1 บาท เท่ากับได้กำไรเพิ่ม 1 บาท"

ขออนุญาตนำไปใช้ในการประชุมคราวหน้าครับ   :L4399:

ออฟไลน์ ตูมตาม

  • Founder Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 6,865
  • Like: 260
  • เพศ: ชาย
มาอ่านอีก 1 รอบ ชอบตรงนี้ครับ

"ลดไป 1 บาท เท่ากับได้กำไรเพิ่ม 1 บาท"

ขออนุญาตนำไปใช้ในการประชุมคราวหน้าครับ   :L4399:

ยินดีครับพี่ชาย  :L4399: :L4399: :L4399:
We are put in situations to build our characters, not to destroy us.

ออฟไลน์ ตูมตาม

  • Founder Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 6,865
  • Like: 260
  • เพศ: ชาย
ขอบคุณมากครับมัสเซอร์ตามครัช

 :sd42: :sd42: กลายเป็นมัสเซอร์ไปซะแล้วเรา  :sd42: :sd42: ยังงี้ต้องกลับไปสอน ABAC ดีฝ่า  :L4384: :L4384: :L4384:
We are put in situations to build our characters, not to destroy us.

ออฟไลน์ ต้อม (ปา แปดริ้ว)

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 1,087
  • Like: 49
  • เพศ: ชาย
ขอบคุณ พี่ดต้ง และ พี่ตูมตาม มากๆครับ   :L4399:
สำหรับความรู้ดีๆ เช่นนี้  :L2734:

ออฟไลน์ กิต <Black Angel>

  • Founder Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 8,947
  • Like: 175
  • เพศ: ชาย
  • There is a will, there is a way!
"ถ้าเราตายไปวันนี้ ไม่กี่วันบริษัทก็หาคนมาทำงานแทนเราได้ แต่ครอบครัวเราซิที่ไม่มีวันจะหาใครมาแทนเราได้" นี่คือ concept ในการทำงานและใช้ชีวิตของผมทุกวันนี้ครับ[/color]

 :L4399: :L4399:

ทริปหน้าไปไหนดีพี่ตาม  :L4398:

ออฟไลน์ กิต <Black Angel>

  • Founder Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 8,947
  • Like: 175
  • เพศ: ชาย
  • There is a will, there is a way!
ขอบคุณคับ.    พี่ตามกับพี่โต้งมากๆคับ.    ทุกอย่างเราต้องเหนื่อยมากกว่าลูกน้องจึงจะประสบความสำเร็จคับ. ผมคิดแบบนี้อ่ะคับ.     :L2900:

เหนื่อยในส่วนของเรานะพี่อั๋น ส่วนของลูกน้องก็ให้เขาไปเหนื่อยของเขา  :L4399:

ออฟไลน์ ตั้ม..

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 473
  • Like: 36
  • เพศ: ชาย
ขอบคุณ พี่โต้ง พี่ตาม สำหรับการแชร์ประสบการณ์ นำไปประยุกต์ใช้ได้จริงๆครับ  :L2900: :L2900: :L2900:

ออฟไลน์ หยก วาฬน้ำเงิน

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 5,467
  • Like: 124
  • เพศ: ชาย
ทริปหน้าไปไหนดีพี่ตาม  :L4398:

พี่กิตกลับจากญี่ปุ่นหรือยังครับ ;D ;D พักให้หายเหนื่อยก่อนมั้ยครับ :sd42: :sd42:  :L2739: :L2901:

Let's rest in Pa-Mania's style......!!!

ออฟไลน์ เจ๊ก สุวรรณภูมิ

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 294
  • Like: 4
  • เพศ: ชาย
  • ที่นี่ประเทศไทย
ข้อมูลเพียบเลย ได้อ่านทำให้หายเครียดไปได้บ้าง ช่วงนี้ปัญหางานรุมเร้าแยะมากเลยไม่ค่อยได้เข้ามาปามาเนีย อ่านเสร็จก็กลับไปแก้ปัญหาของตัวเองต่อ :L4387: :sd23:

manhorse

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ พี่โต้ง Tongsom

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 6,283
  • Like: 186
  • เพศ: ชาย
  • Never Say Never ไม่มีแผนเดียว ในการแก้ปัญหา
:sd23: :sd23: :sd23:
 :L2758: :L2758: :L2758:
 :L2900: :L2900: :L2900:

รูปแบบ พี่ปุ้ย ปาบางแก้ว อ่านอย่างเดียว  :sd42: :sd42: :sd42: :sd42:
กิจการ คาร์แคร์ดูแลรักษารถครบวงจรด้วย Product Meguiars เคลือบแก้ว ติดตั้ง ยางลดเสียง Stuffit ติดต่อ: สมชาย Tel : 097-131-2335
Line ID: Tongsom1371 ร้านขายสินค้า: http://www.pajerosportmania.com/forum/index.php/topic,3554.0.html

manhorse

  • บุคคลทั่วไป
รูปแบบ พี่ปุ้ย ปาบางแก้ว อ่านอย่างเดียว  :sd42: :sd42: :sd42: :sd42:
ผมไม่รู้จะออกความเห็นอย่างไร ขอมาเก็บเกี่ยวความรู้อย่างเดียวคราบพี่โต้ง

ออฟไลน์ ตูมตาม

  • Founder Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 6,865
  • Like: 260
  • เพศ: ชาย
ทริปหน้าไปไหนดีพี่ตาม  :L4398:

ปราณบุรีมะพี่กิตติ พอดีมีภารกิจต้องไปปฏิบัติการช่วงอาทิตย์หน้า  :L2736: :L2736:
We are put in situations to build our characters, not to destroy us.

ออฟไลน์ กิต <Black Angel>

  • Founder Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 8,947
  • Like: 175
  • เพศ: ชาย
  • There is a will, there is a way!
ปราณบุรีมะพี่กิตติ พอดีมีภารกิจต้องไปปฏิบัติการช่วงอาทิตย์หน้า  :L2736: :L2736:

ขอวันที่แน่นอนเพื่อเช็คตารางเวลากับผบ.ครับ  :L2736: :L2736:

ออฟไลน์ ต๋อง Fuddy

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 8,332
  • Like: 170
  • เพศ: ชาย
  • *Love You Always*
ขอวันที่แน่นอนเพื่อเช็คตารางเวลากับผบ.ครับ  :L2736: :L2736:
:L4365:                                                                                                        :L4381:  :L4396:

ออฟไลน์ ติ๊กตั๊ก

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 620
  • Like: 22
  • เพศ: ชาย
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ  :L2900:  :sd23:
Win Win

ออฟไลน์ พี่เล็ก เด็กมีนฯ

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 1,851
  • Like: 15
  • เพศ: ชาย
  • ภูมิใจในชีวิตเรา
ขอบคุนพี่โต้ง และพี่ตามครับ ประสบการณ์ล้วนๆ ขออนุญาตินำบ้างข้อมาใช้นะครับ  :L4399:
ความรู้เรื่องรถเป็นศูนย์

ออฟไลน์ หยก Dev

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 64
  • Like: 4
  • เพศ: ชาย
  • Software Dev.
 :L2900: มีประโยชน์มากเลยครับ
คิด ทำ มี

ออฟไลน์ พี่โต้ง Tongsom

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 6,283
  • Like: 186
  • เพศ: ชาย
  • Never Say Never ไม่มีแผนเดียว ในการแก้ปัญหา
:L2900: มีประโยชน์มากเลยครับ

ผมเตือนตัวเองครับ  :sd42: :sd42: :sd42:
กิจการ คาร์แคร์ดูแลรักษารถครบวงจรด้วย Product Meguiars เคลือบแก้ว ติดตั้ง ยางลดเสียง Stuffit ติดต่อ: สมชาย Tel : 097-131-2335
Line ID: Tongsom1371 ร้านขายสินค้า: http://www.pajerosportmania.com/forum/index.php/topic,3554.0.html

ออฟไลน์ หยก Dev

  • Full Member
  • Pa Mania
  • *
  • กระทู้: 64
  • Like: 4
  • เพศ: ชาย
  • Software Dev.
หลักการและข้อคิดที่ได้จากการ reengineering บริษัทที่อยากเอามาแชร์นะครับ หวังว่าพี่ๆคงได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย

1. การลดค่าใช้จ่าย สำคัญกว่าการเพิ่มรายได้

นี่คือเรื่องที่แทบทุกคนละเลย ทุกคนคิดแต่อยากจะเพิ่มรายได้ โดยไม่หาวิธีลดค่าใช้จ่าย หรือโดยปกติเวลาดูค่าใช้จ่าย มันจะหยุมหยิม เล็กๆน้อยๆ เยอะแยะ บวกๆกันไปมันถึงจะเยอะ พอบอกว่าให้ลดค่าใช้จ่าย คิดไม่ออก เพราะไม่รู้จะลดตรงไหนดี ตรงนั้นก็ลดไม่ได้ ตรงนี้ก็ลดไม่ลง หรือประเภทคิดว่า ลดลงได้ก็นิดหน่อย อย่าไปลดมันเลย ... แบบนี้อันตรายครับ ... การลดค่าใช้จ่ายต้องยึดหลัก "ลดไป 1 บาท เท่ากับได้กำไรเพิ่ม 1 บาท" การเพิ่มรายได้โดยละเลยการควบคุมค่าใช้จ่าย ก็เหมือนคุณเติมน้ำลงในแก้วที่รั่ว มันไม่มีวันเต็มหรอกครับ


2. กระแสเงินสด สำคัญกว่า กำไร

คนเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวแทบทุกคน คิดถึงแต่กำไร แต่เชื่อมั๊ยครับ ธุรกิจใหม่ๆที่เปิดขึ้นมาแล้วเจ๊งไป ใน 10 บริษัทที่เจ๊ง มีถึง 8 บริษัทที่ทำแล้วมีกำไร ... แต่ที่เจ๊ง เพราะกระแสเงินสดครับ ง่ายๆคือ มันหมุนเงินไม่ทัน เพราะปกติคนเริ่มทำธุรกิจคิดแค่ว่าต้นทุนเท่าไหร่ ขายได้เท่าไหร่ หักลับกันแล้ว เหลือก็มีกำไร ... แต่บางทีลืมนึกไปว่า ต้นทุนหลายอย่างเราต้องจ่ายออกทุกวัน เลื่อนไม่ได้ ... แต่เวลาเราขาย ไม่ได้ขายได้ทุกวัน ยิ่งถ้าธุรกิจประเภทมี credit term เจอเข้าไปอีก 30-60 วันกว่าลูกค้าจะจ่าย ระหว่างนั้นค่าใช้จ่าย + ต้นทุน เราต้องควักออกไปก่อน ... สุดท้ายบริหารเงินสดไม่ดี หมุนไม่ทัน ต้องไปกู้มาหมุน โดนดอกเบี้ย เพิ่มภาระเป็นค่าใช้จ่ายเข้ามาอีก ... วนไปวนมาจนหนี้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด ยังไม่เข้าใจว่าเจ๊งได้ยังงัย เมื่อตัวเลขรายได้(ทางบัญชี) - ค่าใช้จ่าย เป็นบวกทุกเดือน


3. อย่าหลงรักสินค้า/บริการของตัวเอง

คนที่จะมาเปิดธุรกิจของตัวเอง ทุกคนเชื่อมั่นในสินค้า/บริการของตัวเองทั้งนั้น และความเชื่อมั่นนั้นมักจะอยู่บนคำว่า "สินค้า/บริการของเรา ดีกว่าคู่แข่ง" สินค้า/บริการของคุณดีกว่าหรือแย่กว่าคู่แข่งไม่ได้อยู่ที่คุณเป็นคนตัดสิน คนที่จะตัดสินคุณในสงครามธุรกิจคือลูกค้า ต่อให้คุณมีสินค้าที่แย่กว่าคู่แข่ง แต่ตราบที่ลูกค้าเชื่อว่าคุณดีกว่าคู่แข่งคุณก็ขายได้ สินค้าที่เราใช้กันทุกวัน สบู่ แชมพู ยาสีฟัน ฯลฯ ถ้าลองไปดูที่ส่วนผสมและการผลิต คุณจะเห็นว่าเจ้าตลาดคุณภาพด้อยกว่ายี่ห้อเบอร์ 2 3 4 แทบทั้งนั้น แต่เจ้าตลาดกลับขายได้ดีกว่ายี่ห้อพวกนั้น 2-3 เท่า การทำสินค้า/บริการของคุณให้ดีเป็นแค่พื้นฐาน แต่คุณต้องทำให้ลูกค้าเชื่อว่าคุณดีกว่าคู่แข่งด้วยคุณถึงจะรอด


4. ลูกค้ามีแบบลูกค้าดี และก็มีแบบลูกค้าแย่

ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า เพราะพระเจ้าต้องดี แต่ลูกค้ามีดี มีเลว คุณต้องเลือกให้ดีว่าคุณจะเอาหรือรับลูกค้าแบบไหน ลูกค้าบางคนได้มา เรามีรายได้จริง แต่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นตามมาด้วย ต้นทุนมีทั้งแบบมองเห็นและมองไม่เห็น แค่ลูกค้าจ่ายช้าต้นทุนคุณก็เพิ่มแล้ว ดังนั้นคุณต้องเลือกลูกค้าให้ดีว่าคุณจะรับหรือไม่รับใคร อย่าลืมว่าการได้ลูกค้าไม่ดีมา คุณก็ต้องเสีย resource ไปให้กับเขา เมื่อลูกค้าดีๆเข้ามา resource ไม่พอคุณก็ทำงานให้เขาได้ไม่ดี แต่การเลือกลูกค้านั้นทำยากมาก เพราะส่วนใหญ่เจ้าของธุรกิจจะคิดแต่ในเรื่องรายได้ ไม่ได้มองต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเมื่อคุณรับลูกค้าไม่ดีเข้ามา คนที่จะเลือกลูกค้าได้คือคนทีมีต้นทุน หรือค่าใช้จ่ายต่ำๆ คนพวกนี้ตั้งตัวเองอยู่ในสถานะที่ไม่ตายหรือตายยาก ดังนั้นไม่ต้องรับลูกค้าไม่เลือกหน้า เขาสามารถเลือกลูกค้าได้ ทุ่มเท resource ให้กับลูกค้าที่ดี ปล่อยลูกค้าไม่ดีให้ไปใช้บริการคู่แข่งไป ไปเป็นภาระให้คู่แข่ง


5. คนคือปัญหา

ปัญหาเรื่องคนเป็นปัญหาโลกแตก ยิ่งสมัยนี้ยิ่งหนัก ระบบการศึกษา + ระบบการเลี้ยงดูลูก ทำให้คนสมัยนี้ไม่สู้งาน ไม่อยากทำงานหนัก งานหนักไปพ่อแม่บังคับให้ลาออกซะงั้น จากประสบการณ์ 10 ปีที่บริหารทีม consult มีลูกน้องเข้าและออกเยอะแยะ ผมเรียนรู้ว่าความรับผิดชอบ สำคัญกว่าความฉลาด คนโง่สอนได้ คนไม่รับผิดชอบสอนยาก รับคนเก่งประสบการณ์เยอะ เงินเดือนก็มากตามมา ถ้าไม่รับผิดชอบ เอาเงินเดือนเยอะๆนี้ไปจ่ายให้คนไม่ค่อยเก่ง เด็กใหม่ไร้ประสบการณ์ เอามาปั้นเอามาสอนบางทีจะคุ้มค่ากว่า


6. เจ้าของต้องทำงานน้อย ลูกน้องต้องทำงานเยอะ

เจ้าของธุรกิจเยอะแยะ ทำงานหนัก เผลอๆหนักกว่าลูกน้องที่จ้างมาทำงานซะอีก บางคนลูกน้องเยอะแยะ แต่ต้องทำงานเองวันละหลายๆชั่วโมง อาทิตย์ละ 7 วันไม่มีพัก แบบนี้ดีมั๊ย ก็ดีครับสำหรับธุรกิจ แต่จะดีได้นานแค่ไหน คนไม่ใช่เครื่องจักร ต้องมีหยุด มีพัก ถ้าเจ้าของยังต้องทำงานหนัก แปลว่าธุรกิจอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้าของ แบบนี้ธุรกิจไม่ยั่งยืน อายุของธุรกิจก็ไม่มีทางยาวนานกว่าอายุเจ้าของ เพราะถ้าเจ้าของตาย มันก็จบ ลูกน้องจ้างมาแล้วต้องให้เขาทำงาน ถ้าเมื่อไหร่เจ้าของทำงานมากกว่าลูกน้อง แสดงว่าทั้งเจ้านายลูกน้องด้อยคุณภาพพอกัน เจ้านายด้อยคุณภาพที่สอนลูกน้องไม่เป็น พัฒนาคนไม่ได้ ส่วนลูกน้องก็ด้อยคุณภาพที่ทำงานไม่ดี ไม่มีการพัฒนาตัวเอง ไม่สามารถทำให้เจ้านายไว้ใจได้ ทำงานแบบนี้เรียก "เตี้ยอุ้มค่อม" เจ้าของต้องทำงานให้น้อย เอาเวลาไปทำอย่างอื่นครับ ไปมองภาพรวม หาทางขยับขยายธุรกิจ อะไรประมาณนั้น ถ้าเจ้าของลงมาโม่ day to day operation แล้วใครจะควบคุมทิศทางธุรกิจ เหมือนเดินเรือ ถ้ากัปตันต้องลงมาพายเรือ แล้วใครจะคุมหางเสือของเรือ


จากข้อคิด 6 ข้อข้างบน ผมนำมาปรับใช้ในการ reengineering จากเดิมที่บริษัทที่ค่าใช้จ่ายประมาณ 6-7 แสนต่อเดือนที่ต้องจ่ายประจำ ตอนนี้เหลือแสนกว่าบาท จากต้องจ่ายค่าเช่า office เดือนละเป็นแสน ตอนนี้กลายเป็น virtual office พนักงานเข้า office เฉพาะวันที่มีประชุม ที่เหลือทำงานที่บ้าน พนักงานไม่ต้องเดินทาง ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา จากที่ต้องรับลูกค้าไม่เลือกหน้า ตอนนี้ผมปฏิเสธลูกค้าส่วนใหญ่ที่ติดต่อเข้ามา รับทำให้เฉพาะลูกค้าดีๆ ที่อยู่กับเราอยู่แล้วก็เหลือเฟือแล้ว จากงานที่ต้องทำให้ลูกค้าเยอะๆ ไม่มีคุณภาพ ปรับมาเป็นคุณภาพเน้นๆให้โดนใจลูกค้า เมื่อก่อนต้องไปเลี้ยงลูกค้า ไปเยี่ยมลูกค้า พาลูกค้าไปเที่ยว เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้วครับ ลูกค้ามาต่อขอจองคิวทำ ต้นปีคิวเต็มยันปลายปี

การ reengineering ครั้งนี้นอกจากจะปรับบริษัทแล้ว ผมเองก็ปรับชีวิตผมด้วย จากเดิมที่ทำงานวันละ 15-16 ชั่วโมง ... ขนาดนั้นจริงๆนะ วันนึงผมได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง บางทีไม่ได้นอนเลย 2-3 วัน ทุกวันทำแต่งาน แทบไม่มีวันหยุด ปัจจุบันทำบ้างพักบ้าง เสร็จ 1 โปรเจคผมจะพัก 1 อาทิตย์เป็นอย่างต่ำ ทำงานแค่วันละ 8-9 ชั่วโมงพอ มีหนักบ้างช่วงปิดโปรเจค พอได้เงินโปรเจคก็พาครอบครัวไปเที่ยว ให้เวลากับครอบครัวเยอะๆ

"ถ้าเราตายไปวันนี้ ไม่กี่วันบริษัทก็หาคนมาทำงานแทนเราได้ แต่ครอบครัวเราซิที่ไม่มีวันจะหาใครมาแทนเราได้" นี่คือ concept ในการทำงานและใช้ชีวิตของผมทุกวันนี้ครับ


 :L4399: :L4399:

ขอบคุณครับ สำหรับข้อคิดดี ๆ ผมจะได้นำไปปรับใช้ครับ
คิด ทำ มี