ถ้า พูดถึงการทดสอบ เรื่องระบบระยะทางกับเชื้อเพลิง ส่วนตัวคิดว่า มันขึ้นอยู่หลายองค์ประกอบ เช่น สภาพความพร้อมของเครื่องยนต์ อุปนิสัยการขับขี่ ภูมิประเทศ สภาพการจราจร หลักพลศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งตรงนี้ถ้าเอาผลเอาจริงเอาจัง ต้องมีการควบคุมสิ่งเหล่านี้ ในทางกลับกัน ถ้าพี่ต้องการความประหยัด ทำไมพี่ไม่พึ่ง ระบบเชื้อเพลิงร่วม (ดีเซล+แก๊ส)ละ น่าจะประหยัดกว่า
รถผมทำได้น้อยกว่า พี่สองท่านด้านบน แต่ในทางกลับกันอีกครั้ง ผมได้ประสิทธิภาพต้น กลาง ปลาย มาแทนของเดิมความอืดอาด ก็ต้องแลกมาอะไรบางอย่าง เหมือน อัสนี โชติกุล บอก ครับ " ได้อย่าง เสียอย่าง "

เห็นด้วยอย่างแรงกับ พี่ต๋องครับ.... ยกตัวอย่างรถ 2 คันที่ผมใช้ประจำนะครับคันที่ 1.
******
ปาเจโร่ 2.5 GT 4WD VG Turbo น้ำหนักรถเดินทางประมาณ 2300-2500 KG.
สิ่งตกแต่งรถเพิ่มเติมจากเดิม-เปลี่ยนหัวฉีด ใส่กล่องปิ่นโตและคันเร่งไฟฟ้า(ชีต้าร์เทค)
-ใส่ยางขอบ 20"
ความสิ้นเปลือง - เดินทา่งไกล ความเร็ว 120-140 กม่./ชม. ปรับกล่องปิ่นโตสีฟ้ากระพริบถี่ๆ ,กล่องคันเร่งเบอร์ 8 อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 8.2 กม./ลิตร
- เดินทา่งไกล ความเร็ว 100-120 กม./ชม. ปรับกล่องทั้ง2 แบบเดิม อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 9.6 กม./ลิตร
- เดินทา่งไกล ความเร็ว 80-100 กม./ชม. ปรับกล่องทั้ง2 แบบเดิม อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 10.2 กม./ลิตร
สำหรับการวิ่่งในเมือง ผมได้อยู่ไม่เกิน 8.2 กม./ลิตร
คือว่า เราได้เรื่องอัตราเร่ง ก็ต้องแลกด้วย อัตราการสิ้นเปลือง แต่ได้เรื่องความปลอดภัยขณะเร่งแซงครับ
คันที่ 2.
******
เชพโรเล็ต โคโรลาโด้ 2.5 Turbo CNG น้ำหนักรถเดินทางประมาณ 1600-1800 KG
สิ่งตกแต่งรถเพิ่มเติมจากเดิม-รถคันนี้เป็นรถกระบะมี CAB 2 ประตูติดระบบเชื้อเพลิงร่วมมาจากโรงงาน (ดีเซล+CNG)
-ใส่ยางเดิมขอบ 15"
ความสิ้นเปลือง - เดินทา่งไกล ความเร็ว 100-120 กม่./ชม. อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย >20 กม./ลิตร และแก๊ส CNG ประมาณ 15 กม./กก.
แต่อาจจะงงนะครับ ดังนั้นคิดให้ฟังง่ายๆว่า ถ้ามีแ๊ก๊สให้เติมได้ตลอดการเดินทางไกล
น้ำมันดีเซล 1 ถัง(ประมาณ 70 ลิตร) จะวิ่งได้ระยะทางไม่น้อยกว่า 1400 กม.
รถคันนี้ได้ในเรื่องประหยัดครับ แต่แลกด้วย อัตราเร่งที่ช้า ไปแบบเนิบนาบ ค่อยๆไปแบบไม่รีบครับ
แต่ถ้ารีบไม่ยากครับ กดปุ่มปิดแก๊สแค่นั้น
....เพื่อเป็นข้อมูลครับ....หมายเหตุ อัตราความสิ้นเปลืองได้ทดสอบมาหลายครั้งจนจำได้แล้วครับ
