(เครดิตพี่อ๊อด ราชรี)ทำความเข้าใจกับกล่องข้าวน้อย ภาค 2 กันซักเล็กน้อยครับ
ในชุดจะประกอบไปด้วย กล่องกับชุดสายไฟที่เป็นแบบปลั๊กเสียบ

เวลาติดตั้งก็จะทำการเสียบปลั๊กในห้องเครื่อง จากนั้นก็ลากสายเข้ามาในรถเสียบเข้ากับตัวกล่อง

จะมีสายอีก 1 ชุดไปเสียบที่ขั้ว OBD ใต้พวงมาลัย แล้วลากไปต่อเข้าที่กล่อง เป็นอันเสร็จสิ้นการติดตั้ง

ในชุดจะมีปลั๊กหน้าตาแบบนี้แถมมาด้วย ให้เก็บเอาไว้

และจะใช้ก็ต่อเมื่อมีการนำรถเข้าศูนย์และศูนย์จำเป็นต้องเสียบเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ขั้ว OBD ใต้พวงมาลัย
ก็ให้ถอดขั้วที่เสียบใต้พวงมาลัยออก จากนั้นก็นำปลั๊กที่แถมมาเสียบแทนที่ตัวกล่อง
เป็นการยกเลิกการใช้งานกล่องโดยสมบูรณ์

แต่หากวันนึงไม่ต้องการมันแล้ว ต้องการจะถอดออก ก็ทำการถอดปลั๊กที่ในห้องเครื่อง ถอดปลั๊กใต้พวงมาลัย
เก็บสายทั้งหมด ตัวรถก็กลับอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีใครรู้ว่าเคยใส่กล่องมา
แต่หากมีการทำ step 2 เพื่อให้ใช้ประสิทธิภาพของกล่องให้เต็มที่ จะมีการทำท้ายราง
ซิ่งนั่นหมายถึงว่ามีการดัดแปลงในส่วนนี้แล้ว เพราะฉะนั้นส่วนของท้ายรางและตัวรางก็จะหมดประกันไป
แต่ไม่ต้องเป็นห่วงว่ารางจะเสียจะแตก เพราะทาง iFrit เข้าใจจุดนี้ดี จึงพิถีพิถันในการทำและติดตั้งท้ายราง
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาได้ในอนาคต ซึ่งผมก็มั่นใจในทีมงาน iFrit

และถามว่าต้องอุด EGR ด้วยหรือไม่ ผมก็แนะนำว่า ไม่อุดก็ใช้ได้ แต่ส่วนมากแล้วก็จะอุดกัน
ที่ step 2 เป็นอะไรที่ผมได้ลองใช้งานมาแล้วถือว่า พอแล้วสำหรับรถใช้งานบ้านๆทั่วไป ไม่ได้เอาไปแข่ง
การตอบสนอง ความกระฉับกระเฉงถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว เป็น step ที่ไม่ต้องเน้นการดูแลมาก
ใช้งานอย่างเดียว ตรงตาม concept ที่ผมและพี่นะวางไว้คือ แรงระดับนึง ใช้กันยาวๆ ไม่ต้องคอยปรับจูนหรือดูแลอะไรให้มากมาย
ถามว่าแรงกว่านี้ได้อีกมั๊ย ตอบว่าได้ครับ แรงแบบปลอดภัยนั่นคือ step3 หรืออยากแรงกว่านั้นผมก็ทราบดีว่ายังไปได้อีกเยอะ
แล้วจะต้องเตรียมอะไรไว้บ้าง เปลี่ยนโน้น เปลี่ยนนี่ และอย่างน้อยก็ค่าซ่อมรถล่ะครับ
ยังมีอุปกรณ์อีก 1 ตัว ที่แยกขายตางหาก นั่นคือ
Smart Gauge รุ่นพิเศษสำหรับกล่อง iFritโดยความสามารถของมันมีมากมาย มีไว้แล้วได้ใช้ประโยชน์อีกเยอะเลย ซึ่งผมจะนำมาเสนอในโอกาสต่อไปครับ
